คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส |
ในบันทึกนี้ นายพลปิริแสดงถึงเรื่องราวของแผนที่ของเขา ในสงครามทางเรือกับสเปน เมื่อ ค.ศ.1501 เสมียนชาวเตอร์กีส ชื่อเกมัล จับนักโทษสเปนที่ไปกับโคลัมบัส ในการเดินทางสามครั้งในประวัติศาสตร์ เชลยผู้นี้ให้แผนที่อันน่าแปลกชุดหนึ่ง
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส อาจจะรู้ว่าตนกำลังเป็นหนี้บุญคุณของแผนที่เหล่านี้ หากการยืนยันนี้ถูกต้องแล้ว เราจะเข้าใจได้ถึงคำพูดของเฟอร์ดินานผู้เป็นบุตร ที่เขียนไว้ในเรื่อง ชีวิตของพลเรือเอกคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (The Life of the admiral Christopher Columbus) ว่า ''เขาบันทึกร่องรอยที่มีประโยชน์ทุกอย่าง จากที่กะลาสีหรือคนอื่น ๆ ให้ เขาใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี และเอาชนะจากเงาแห่งความสงสัย ที่ว่าทางตะวันตกของหมู่เกาะคานารี และเคปเวอร์ด มีดินแดนมากมายที่จะไปให้ถึงและ
ให้ค้นพบ''
ในบรรดาทรัพย์สินที่ชาวเติร์กยึกจากเชลยสเปนคนนี้ มีแผนที่วาดโดยโคลัมบัสเมื่อปี ค.ศ.1498 หรือหกปีหลังจากการค้นพบหมู่เกาะอินดิสตะวันตกและอเมริกาใต้ แม่น้ำ กรีนแลนด์ และแอนตาร์กติกา ซึ่งสมัยปี ค.ศ.1498 สิ่งทั้งหมดนี้ยังไม่มีใครรู้จัก และระยะทางระหว่างอเมริกาใต้และแอฟริกาก็มีความถูกต้องแม่นยำอย่างน่าแปลกใจ
แผนที่อเมริกาที่เก่าที่สุด (ค.ศ.1520)
แสดงแอนตาร์กติกา
ไม่มีแผ่นน้ำแข็ง และส่วนต่าง ๆ
เราเพิ่งจะรู้จักเมื่อ ค.ศ. 1957 นี้เอง
|
สิ่งต่าง ๆ มากมายยังเป็นที่น่าพิศวง เกี่ยวกับแผนที่ของนายพลปิริ ไรส์ ใครเป็นผู้วาดแผนที่ในสมัยพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราช หรือสมัยโคลัมบัส โดยให้ทวีปแอนตาร์กติกาไม่มีน้ำแข็ง และเขาทำได้อย่างไร อย่างไรก็ตามในเวลาไม่นานมานี้ มีการวัดทวีปดังกล่าวในส่วนแผ่นน้ำแข็ง และทำเป็นแผนที่กรีนแลนด์นั้นปรากฏภาพเป็นเกาะสองสามเกาะ ตัวแผ่นดินของกรีนแลนด์จมอยู่ใต้ผืนน้ำแข็ง 5,000 ฟุต และเมื่อไม่นานมานี้เอง จากการสำรวจขั้วโลกของฝรั่งเศสได้เผยความจริงที่ว่า กรีนแลนด์ประกอบด้วยเกาะใหญ่สองเกาะ อาร์ลิงตัน เอช. มัลเลรี ชาวอเมริกัน ผู้มีชื่อเสียงเรื่องการทำแผนที่ได้ขอให้สำนักงานอุทกศาสตร์แห่สหรัฐอเมริกาช่วยตรวจสอบแผนที่มหัศจรรย์นี้ จากนั้นนายพลลาร์เซน แห่งราชนาวีอเมริกาก็ตอบว่า สำนักงานอุทกศาสตร์แห่งราชนาวี ได้ตรวจสอบแผนที่โบราณที่เรียกว่าแผนที่ปิริ ไรส์ ที่มีอายุย้อนกลับไปมากกว่า 5,000 ปี แผนที่นั้นมีความถูกต้องแม่นยำมาก มีคำอธิบายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือเป็นการสำรวจโลกโดยรอบ ในตอนแรกสำนักงานอุทกศาสตร์ไม่เชื่อ แต่ภายหลังไม่เพียงแต่จะพิสูจน์ว่าเป็นแผนที่ที่ตรงความจริงเท่านั้น แต่ยังนำไปใช้เพื่อแก้ไขความผิดพลาดในแผนที่ทุกวันนี้บางฉบับด้วย
มัลเลรีกล่าวว่า แผนที่โบราณนั้น มีการบันทึกเทือเขาไว้ทุกแนว ในแคนาดาตอนเหนือและอลาสกา รวมถึงบางเทือกเขาที่ส่วนบริการแผนที่ของกองทัพบกอเมริกาไม่มี แต่กองทัพบกอเมริกาเพิ่งจะได้พบ
เส้นแวงในแผนที่นี้ ที่มีความแม่นยำมาก นี่เป็นเรื่องน่าพิศวง เพราะเราเรียนรู้เรื่องการคำนวณแผนที่เมื่อสองร้อยปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง มัลเลรียังตั้งข้อสังเกตว่า เราไม่ทราบว่าเขาทำแผนที่อย่างแม่นยำได้อย่างไร โดยไม่มีเครื่องบิน
ancient Map |
พระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราช เมื่อศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล |
นักดาราศาสตร์ชาวอาหรับชื่ออาบูล วาฟา (ค.ศ.939-998) ค้นพบความผิดปกติในการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ ซึ่งทราบว่าเป็นการแปรผัน การเบี่ยงเบนของดวงจันทร์จากเส้นทางปกติ เกิดจากความแตกต่างของแรงดึงจากดวงอาทิตย์ในระยะต่าง ๆ กันจากวงโคจรของดวงจันทร์ นับว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสังเกตปรากฏการณ์นี้โดยปราศจากนาฬิกาที่ดีพอ และเครื่องมือที่ละเอียดแม่ยำ ซึ่งนักดาราศาสตร์แห่งแบกแดดไม่เคยมีเลยในศตวรรษที่สิบ
นับเป็นเวลาประมาณเจ็ดร้อยปีต่อมา ไทโช เดอ บราห์ ได้ประกาศการค้นพบการแปรผันของดวงจันทร์นี้ และเขาได้รับการยกย่องจากวงการดาราศาสตร์เพราะเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม นักดาราศาสตร์บางท่านก็อ้างถึงบทความของปราชญ์ชาวอาหรับ ผู้ที่ดูเหมือนจะรู้จักเรื่องนี้ก่อนไทโช เดอ บราห์ ด้วยซ้ำ บางท่านก็ประกาศว่าเป็นไปไม่ได้ที่อาบูล วาฟาจะค้นพบเรื่องนี้
เป็นไปได้อย่างไร ที่นักพรตสมัยโบราณจะรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ มากกว่าที่พวกเขาควรจะรู้ ความลึกลับนี้ควรจะได้รับการอธิบาย เมื่อมีการยอมรับความรู้สมัยเก่าก่อน ศาสตร์ลึกลับแห่งกาลเวลาจากอียิปต์ อินเดีย กรีก และประเทศอื่น ๆ ได้รับเข้าไปยังยุโรป แอบแฝงอยู่ในการใช้สัญลักษณ์ทางการเล่นแร่แปรธาตุ ดาราศาสตร์ และโรซิสครูเชียน (รูปดอกกุหลาบและไม้กางเขน) เพื่อเลี่ยงการรบกวนจากการสืบสวนค้นหาอย่างชาญฉลาดทั้งปวง
ไม่ใช่เรื่องที่แปลกนักที่จะทราบว่ามีองค์การลึกลับบางแห่ง ได้เก็บรักษาหนังสือจากหอสมุดอะเล็กซานเดรียไว้ บางทีการค้นพบการแปรผันของดวงจันทร์โดยอาบูล วาฟานั้น จะกระจ่างด้วยเหตุผลนี้
ในเรื่อง กัลลิเวอร์ผจญภัย (Gulliver's Travels) นั้น โจนาธาน สวิฟต์ ได้พรรณนาไว้เมื่อปี ค.ศ.1726 ถึงพระจันทร์สองดวงของดาวอังคาร เขาเรียกว่า ดาวน้อย หรือดาวบริวาร สวิฟต์เขียนว่า ดวงจันทร์ในสุดโคจรรอบดาวอังคารในเวลาสิบชั่วโมง และดวงจันทร์นอกสุดใช้เวลายี่สิบเอ็ดชั่วโมงครึ่ง
โจนาธาน สวิฟต์ ผู้เขียนเรื่องกัลลิเวอร์ผจญภัย อันเป็นงานชิ้นเดียวที่เขาได้รับค่าเขียน |
ในเรื่อง กัลลิเวอร์ผจญภัย เราพบว่าดาวบริวารดวงในสุด ซึ่งบัดนี้เรียกว่า โฟโบส โคจรรอบดาวอังคารด้วยระยะห่างเป็นสามาเท่าของเส้นผ่าศูนย์กลางของดาวอังคาร หรือ 12,600 ไมล์ จากเรื่องของสวิฟต์ ดวงจันทร์ดวงนอกหรือไดโมสโคจรรอบดาวอังคารด้วยระยะห้าเท่าของเส้นผ่าศูนย์กลางของดาวอังคาร เมื่อวัดจากจุดศูนย์กลางหรือ 21,000 ไมล์ ผู้เขียนเรื่องกัลลิเวอร์ผจญภัยให้ค่าไว้ผิดพลาด เพราะระยะทางจริงของดวงจันทร์เหล่านี้ห่างจากจุดศูนย์กลางของดาวอังคาร 5,826 ไมล์ สำหรับโฟโบส และ 14,580 ไมล์สำหรับไดโมส หากไม่พิจารณาถึงความคลาดเคลื่อนนี้ ความคล้ายคลึงระหว่างดาวบริวารในสมมติฐานของโจนาธาน สวิฟต์ และค่าจริงนั้นนับว่าใกล้เคียงกันมากเกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ ดังนี้แล้ว สวิฟต์ได้รับรู้เอกสารหายากในสมัยเก่าก่อนหรือไม่ ?
ต้นฉบับลายมือที่เรียกว่าวอยนิช (Voynish) ประมาณว่ามีความเก่าถึง 450 ปี ถือกันว่าเป็นเอกสารลี้ลับที่สุดในโลก และเคยขายในนิวยอร์ก ด้วยราคาประมาณ 160,000 ดอลลาร์ เมื่อ ค.ศ.1962
ดวงจันทร์ของดาวอังคาร
ดวงจันทร์โฟโบส |
ดวงจันทร์ไดโมส |
เอกสารดังกล่าวเขียนด้วยอักษรรหัส และประกอบด้วยภาพวาดดาวพระเคราะห์ สัญลักษณ์และค่าที่ให้ไว้ในรูปแบบของแผนภูมิที่ดีเยี่ยม แบบนักเล่นแร่แปรธาตุโบราณแต่เดิมนั้นมีด้วยกัน 272 หน้า แต่ขาดหายไป 26 หน้า ในแผ่นสุดท้ายมีอักษรเขียนภาษาละตินความว่า เจ้ากำลังเปิดประตูหลายชั้น มาหาข้า
ในแผ่นภาพปริศนานี้ มีภาพวาดของใบไม้และรากไม้ไขว้กัน ใบไม้จำนวนสิบหกชนิดนั้น เป็นชนิดที่มีในยุโรปจริง แต่ภาพสเก็ตช์นั้นจะทำไม่ได้เลยหากปราศจากกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งเราคิดว่ายังไม่มีใช้ในสมัยปี ค.ศ.1500 นอกจากนี้หนังสือโบราณดังกล่าวยังมีภาพของสิ่งที่อาจจะเรียกได้ว่า กาแลกซี อันโดรมีดา ซึ่งเห็นเป็นก้นหอยเมื่อมองจากกล้องโทรทรรศน์เท่านั้น
กาแลกซี อันโดรมีดา |
แนวคิดเรื่องวัฒนธรรมที่เหนือกว่า ที่อารยธรรมหลังน้ำท่วมของเราได้มานั้น ล้วนปรากฏอยู่ในขอบเขตของการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์
ศาสตราจารย์เฟรเดริก โซดดี หนึ่งในผู้ก่อตั้งวิชานิวเคลียร์ฟิสิกส์ ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องเล่าสมัยโบราณ โดยตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องเหล่านั้น คงจะชี้บอกการมีอยู่ของอารยธรรมโบราณ ที่ไม่มีใครเคยคาดคิด และไม่เคยล่วงรู้เลย โดยที่ร่องรอยอื่น ๆ ทั้งปวงนั้นหายไปก็ได้