หน้าเว็บ

Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

มรดกช่วยหาข้ออนุมาน และ แผนที่โบราณ

คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
มูฮิดดิน ปิริ ไรส์ หรือนายพลปิริ ไรส์ (ค.ศ.1470-1554) ได้ตีพิมพ์สมุดแผนที่เดินเรือ ชื่อบาหริย์เย ในตุรกี เมื่อ ค.ศ.1520 แผนที่นี้มีบันทึกที่ขอบ เขียนบนหนังกวาง มีการค้นพบที่พระราชวังท็อปกาปิ ในเมืองอิสตันบูล เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ.1929 โดยฮาลิล เอ็ดเฮ็ม ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ
ในบันทึกนี้ นายพลปิริแสดงถึงเรื่องราวของแผนที่ของเขา ในสงครามทางเรือกับสเปน เมื่อ ค.ศ.1501 เสมียนชาวเตอร์กีส ชื่อเกมัล จับนักโทษสเปนที่ไปกับโคลัมบัส ในการเดินทางสามครั้งในประวัติศาสตร์ เชลยผู้นี้ให้แผนที่อันน่าแปลกชุดหนึ่ง
           
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส อาจจะรู้ว่าตนกำลังเป็นหนี้บุญคุณของแผนที่เหล่านี้ หากการยืนยันนี้ถูกต้องแล้ว เราจะเข้าใจได้ถึงคำพูดของเฟอร์ดินานผู้เป็นบุตร ที่เขียนไว้ในเรื่อง ชีวิตของพลเรือเอกคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (The Life of the admiral Christopher Columbus) ว่า ''เขาบันทึกร่องรอยที่มีประโยชน์ทุกอย่าง จากที่กะลาสีหรือคนอื่น ๆ ให้ เขาใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี และเอาชนะจากเงาแห่งความสงสัย ที่ว่าทางตะวันตกของหมู่เกาะคานารี และเคปเวอร์ด มีดินแดนมากมายที่จะไปให้ถึงและ
ให้ค้นพบ''
             
ในบรรดาทรัพย์สินที่ชาวเติร์กยึกจากเชลยสเปนคนนี้ มีแผนที่วาดโดยโคลัมบัสเมื่อปี ค.ศ.1498 หรือหกปีหลังจากการค้นพบหมู่เกาะอินดิสตะวันตกและอเมริกาใต้ แม่น้ำ กรีนแลนด์ และแอนตาร์กติกา ซึ่งสมัยปี ค.ศ.1498 สิ่งทั้งหมดนี้ยังไม่มีใครรู้จัก และระยะทางระหว่างอเมริกาใต้และแอฟริกาก็มีความถูกต้องแม่นยำอย่างน่าแปลกใจ
แผนที่อเมริกาที่เก่าที่สุด (ค.ศ.1520) 
แสดงแอนตาร์กติกา
ไม่มีแผ่นน้ำแข็ง และส่วนต่าง ๆ 
เราเพิ่งจะรู้จักเมื่อ ค.ศ. 1957 นี้เอง
ศาสตราจารย์ด็อกเตอร์อะเฟตินาน แห่งตุรกีได้เขียนไว้ในหนังสือ แผนที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกา (The Oldest Map of America) ว่า ''ในบทที่ว่าด้วยทะเลตะวันตก เราอ่านเรื่องทั้งหมดที่รู้จักเกี่ยวกับการค้นพบอเมริกาในสมัยนั้น ในเรื่องนี้ เขา (ปิริ ไรส์ - เอ.ที.) ได้เล่าเรื่องตามที่ได้ยินมาอีกครั้งว่า มีหนังสือบางเล่มที่แปลสู่ยุโรป ในสมัยพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราช และหลังจากอ่านแล้ว คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ก็ออกเดินทาง และค้นพบอันทิลเลส ด้วยเรือที่ได้รับจากรัฐบาลสเปน เป็นที่เด่นชัดถึงทุกวันนี้ว่า ปิริ ไรส์ ได้ครอบครองแผนที่ที่นักค้นพบผู้ยิ่งใหญ่เคยใช้''

สิ่งต่าง ๆ มากมายยังเป็นที่น่าพิศวง เกี่ยวกับแผนที่ของนายพลปิริ ไรส์ ใครเป็นผู้วาดแผนที่ในสมัยพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราช หรือสมัยโคลัมบัส โดยให้ทวีปแอนตาร์กติกาไม่มีน้ำแข็ง และเขาทำได้อย่างไร อย่างไรก็ตามในเวลาไม่นานมานี้ มีการวัดทวีปดังกล่าวในส่วนแผ่นน้ำแข็ง และทำเป็นแผนที่กรีนแลนด์นั้นปรากฏภาพเป็นเกาะสองสามเกาะ ตัวแผ่นดินของกรีนแลนด์จมอยู่ใต้ผืนน้ำแข็ง 5,000 ฟุต และเมื่อไม่นานมานี้เอง จากการสำรวจขั้วโลกของฝรั่งเศสได้เผยความจริงที่ว่า กรีนแลนด์ประกอบด้วยเกาะใหญ่สองเกาะ  อาร์ลิงตัน เอช. มัลเลรี ชาวอเมริกัน ผู้มีชื่อเสียงเรื่องการทำแผนที่ได้ขอให้สำนักงานอุทกศาสตร์แห่สหรัฐอเมริกาช่วยตรวจสอบแผนที่มหัศจรรย์นี้ จากนั้นนายพลลาร์เซน แห่งราชนาวีอเมริกาก็ตอบว่า สำนักงานอุทกศาสตร์แห่งราชนาวี ได้ตรวจสอบแผนที่โบราณที่เรียกว่าแผนที่ปิริ ไรส์ ที่มีอายุย้อนกลับไปมากกว่า 5,000 ปี แผนที่นั้นมีความถูกต้องแม่นยำมาก มีคำอธิบายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือเป็นการสำรวจโลกโดยรอบ ในตอนแรกสำนักงานอุทกศาสตร์ไม่เชื่อ แต่ภายหลังไม่เพียงแต่จะพิสูจน์ว่าเป็นแผนที่ที่ตรงความจริงเท่านั้น แต่ยังนำไปใช้เพื่อแก้ไขความผิดพลาดในแผนที่ทุกวันนี้บางฉบับด้วย               
มัลเลรีกล่าวว่า แผนที่โบราณนั้น มีการบันทึกเทือเขาไว้ทุกแนว ในแคนาดาตอนเหนือและอลาสกา รวมถึงบางเทือกเขาที่ส่วนบริการแผนที่ของกองทัพบกอเมริกาไม่มี แต่กองทัพบกอเมริกาเพิ่งจะได้พบ
             
เส้นแวงในแผนที่นี้ ที่มีความแม่นยำมาก นี่เป็นเรื่องน่าพิศวง เพราะเราเรียนรู้เรื่องการคำนวณแผนที่เมื่อสองร้อยปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง มัลเลรียังตั้งข้อสังเกตว่า เราไม่ทราบว่าเขาทำแผนที่อย่างแม่นยำได้อย่างไร โดยไม่มีเครื่องบิน            
ancient Map
แผนที่นี้แสดงถึงการมีอยู่ของศาสตร์ในยุคอันไกลโพ้น ซึ่งเราคิดกันว่าไม่มีศาสตร์ใด ๆ การเดินทัพของพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราช ได้ยึดครองปาปิรัสจากอารามไซส์ในอียิปต์อย่างนั้นหรือ นักบวชอียิปต์นั้นทราบดีเกี่ยวกับอเมริกา เพราะจากที่เพลโตเขียนไว้ ระบุว่า โซลอนได้รับคำบอกว่า แอตแลนติก คือทะเลจริง และดินแดนโดยรอบนั้นอาจจะเรียกให้ถูกต้องที่สุดว่าทวีป   ยังมีการถกเถียงอีกต่อไปเกี่ยวกับจุดกำเนิดสมัยโบราณของแผนที่ปิริ ไรส์ ซึ่งคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เคยครอบครอง และสามารถพิสูจน์ได้จากข้อเท็จจริงที่น่าตื่นตะลึงอีกอย่างหนึ่ง กล่าวคือ ดาวเทียมในอวกาศ ได้เผยให้เห็นว่าโลกของเรานั้นมีลักษณะคล้ายผลแพร์ แต่จดหมายจากโคลัมบัสก็กล่าวถึงเรื่องนี้ เขากล่าวว่าโลกนั้นมีรูปร่างเหมือนผลแพร์ เมื่อไม่กี่สิบปีก่อน เราเองยังไม่รู้เกี่ยวกับรูปร่างอันประลาดของโลกเราเอง แล้วโคลัมบัสรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร          
พระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราช
เมื่อศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล
นักดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ชาวอาเซอร์ไบยัน แห่งศตวรรษที่สิบสาม ชื่อ นาซีเรดดิน ตูซี ก็ทราบว่ามีอเมริกาอยู่ อันเป็นเวลาก่อนโคลัมบัสถึง 220 ปี สำหรับ จี.ดี. มาเมดไบลี แห่งราชบัณฑิตสาขาวิทยาศาสตร์ของอาเซอร์ไบยันก็เพิ่งจะทราบว่า เมื่อเจ็ดศตวรรษก่อน นักวิชาการได้กล่าวถึงดินแดนแห่งดเซไซร์ ฮัลดัต (เกาะนิรันดร) โดยพิกัดทางภูมิศาสตร์นั้น ตรงกันโดยสมบูรณ์กับดินแดนทางเหนือของอเมริกาใต้ เช่นเดียวกับแผนที่ปิริ ไรส์ อันน่ามหัศจรรย์ ต้นฉบับของนาซิเรดดิน ตูซี จะต้องมีที่มาจากศาสตร์โบราณอย่างแน่นอน
             
นักดาราศาสตร์ชาวอาหรับชื่ออาบูล วาฟา (ค.ศ.939-998) ค้นพบความผิดปกติในการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ ซึ่งทราบว่าเป็นการแปรผัน การเบี่ยงเบนของดวงจันทร์จากเส้นทางปกติ เกิดจากความแตกต่างของแรงดึงจากดวงอาทิตย์ในระยะต่าง ๆ กันจากวงโคจรของดวงจันทร์ นับว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสังเกตปรากฏการณ์นี้โดยปราศจากนาฬิกาที่ดีพอ และเครื่องมือที่ละเอียดแม่ยำ ซึ่งนักดาราศาสตร์แห่งแบกแดดไม่เคยมีเลยในศตวรรษที่สิบ
           
นับเป็นเวลาประมาณเจ็ดร้อยปีต่อมา ไทโช เดอ บราห์ ได้ประกาศการค้นพบการแปรผันของดวงจันทร์นี้ และเขาได้รับการยกย่องจากวงการดาราศาสตร์เพราะเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม นักดาราศาสตร์บางท่านก็อ้างถึงบทความของปราชญ์ชาวอาหรับ ผู้ที่ดูเหมือนจะรู้จักเรื่องนี้ก่อนไทโช เดอ บราห์ ด้วยซ้ำ บางท่านก็ประกาศว่าเป็นไปไม่ได้ที่อาบูล วาฟาจะค้นพบเรื่องนี้
             
เป็นไปได้อย่างไร ที่นักพรตสมัยโบราณจะรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ มากกว่าที่พวกเขาควรจะรู้ ความลึกลับนี้ควรจะได้รับการอธิบาย เมื่อมีการยอมรับความรู้สมัยเก่าก่อน ศาสตร์ลึกลับแห่งกาลเวลาจากอียิปต์ อินเดีย กรีก และประเทศอื่น ๆ ได้รับเข้าไปยังยุโรป แอบแฝงอยู่ในการใช้สัญลักษณ์ทางการเล่นแร่แปรธาตุ ดาราศาสตร์ และโรซิสครูเชียน (รูปดอกกุหลาบและไม้กางเขน) เพื่อเลี่ยงการรบกวนจากการสืบสวนค้นหาอย่างชาญฉลาดทั้งปวง
             
ไม่ใช่เรื่องที่แปลกนักที่จะทราบว่ามีองค์การลึกลับบางแห่ง ได้เก็บรักษาหนังสือจากหอสมุดอะเล็กซานเดรียไว้ บางทีการค้นพบการแปรผันของดวงจันทร์โดยอาบูล วาฟานั้น จะกระจ่างด้วยเหตุผลนี้
             
ในเรื่อง กัลลิเวอร์ผจญภัย (Gulliver's Travels) นั้น โจนาธาน สวิฟต์ ได้พรรณนาไว้เมื่อปี ค.ศ.1726 ถึงพระจันทร์สองดวงของดาวอังคาร เขาเรียกว่า ดาวน้อย หรือดาวบริวาร สวิฟต์เขียนว่า ดวงจันทร์ในสุดโคจรรอบดาวอังคารในเวลาสิบชั่วโมง และดวงจันทร์นอกสุดใช้เวลายี่สิบเอ็ดชั่วโมงครึ่ง        
โจนาธาน สวิฟต์ ผู้เขียนเรื่องกัลลิเวอร์ผจญภัย
อันเป็นงานชิ้นเดียวที่เขาได้รับค่าเขียน
นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกาชื่ออะซาฟ ฮอลล์ ค้นพบดาวบริวารสองดวงของดาวอังคาร เมื่อ ค.ศ.1877 หรือประมาณ 150 ปี หลังจากสวิฟต์เขียนหนังสือเล่มนั้น ดวงจันทร์ของดาวอังคารสองดวงชื่อนับแต่นั้นว่า โฟโบส และไดโมส ดวงจันทร์ดวงในโคจรรอบดาวแม่ด้วยเวลา 7 ชั่วโมง 39 นาที และไดโมส บริวารดวงนอกโคจรด้วยเวลา 30 ชั่วโมง 18 นาที แม้ว่าค่าของสวิฟต์จะไม่ตรงกับช่วงการโคจรจริงของดวงจันทร์ทั้งสองของดาวอังคาร แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลกันมากนัก
             
ในเรื่อง กัลลิเวอร์ผจญภัย เราพบว่าดาวบริวารดวงในสุด ซึ่งบัดนี้เรียกว่า โฟโบส โคจรรอบดาวอังคารด้วยระยะห่างเป็นสามาเท่าของเส้นผ่าศูนย์กลางของดาวอังคาร หรือ 12,600 ไมล์ จากเรื่องของสวิฟต์ ดวงจันทร์ดวงนอกหรือไดโมสโคจรรอบดาวอังคารด้วยระยะห้าเท่าของเส้นผ่าศูนย์กลางของดาวอังคาร เมื่อวัดจากจุดศูนย์กลางหรือ 21,000 ไมล์ ผู้เขียนเรื่องกัลลิเวอร์ผจญภัยให้ค่าไว้ผิดพลาด เพราะระยะทางจริงของดวงจันทร์เหล่านี้ห่างจากจุดศูนย์กลางของดาวอังคาร 5,826 ไมล์ สำหรับโฟโบส และ 14,580 ไมล์สำหรับไดโมส หากไม่พิจารณาถึงความคลาดเคลื่อนนี้ ความคล้ายคลึงระหว่างดาวบริวารในสมมติฐานของโจนาธาน สวิฟต์ และค่าจริงนั้นนับว่าใกล้เคียงกันมากเกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ ดังนี้แล้ว สวิฟต์ได้รับรู้เอกสารหายากในสมัยเก่าก่อนหรือไม่ ?
             
ต้นฉบับลายมือที่เรียกว่าวอยนิช (Voynish) ประมาณว่ามีความเก่าถึง 450 ปี ถือกันว่าเป็นเอกสารลี้ลับที่สุดในโลก และเคยขายในนิวยอร์ก ด้วยราคาประมาณ 160,000 ดอลลาร์ เมื่อ ค.ศ.1962

ดวงจันทร์ของดาวอังคาร
ดวงจันทร์โฟโบส
        ดวงจันทร์ไดโมส
สมบัติที่ตกทอดมานี้ นายวิลฟอร์ด ดับเบิลยู วอยนิช นักเล่นของเก่าในนิวยอร์ก พบได้จากปราสาทแห่งหนึ่งใกล้กรุงโรม เมื่อ ค.ศ.1912 เป็นการเขียนด้วยลายมือ ชนิดของกระดาษต้นฉบับและหมึก บ่งชี้ว่าต้นฉบั้บนี้เขียนขึ้นเมื่อประมาณ ค.ศ.1500
             
เอกสารดังกล่าวเขียนด้วยอักษรรหัส และประกอบด้วยภาพวาดดาวพระเคราะห์ สัญลักษณ์และค่าที่ให้ไว้ในรูปแบบของแผนภูมิที่ดีเยี่ยม แบบนักเล่นแร่แปรธาตุโบราณแต่เดิมนั้นมีด้วยกัน 272 หน้า แต่ขาดหายไป 26 หน้า ในแผ่นสุดท้ายมีอักษรเขียนภาษาละตินความว่า เจ้ากำลังเปิดประตูหลายชั้น มาหาข้า
             
ในแผ่นภาพปริศนานี้ มีภาพวาดของใบไม้และรากไม้ไขว้กัน ใบไม้จำนวนสิบหกชนิดนั้น เป็นชนิดที่มีในยุโรปจริง แต่ภาพสเก็ตช์นั้นจะทำไม่ได้เลยหากปราศจากกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งเราคิดว่ายังไม่มีใช้ในสมัยปี ค.ศ.1500 นอกจากนี้หนังสือโบราณดังกล่าวยังมีภาพของสิ่งที่อาจจะเรียกได้ว่า กาแลกซี อันโดรมีดา ซึ่งเห็นเป็นก้นหอยเมื่อมองจากกล้องโทรทรรศน์เท่านั้น
 กาแลกซี อันโดรมีดา             
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องรหัสสมัยสงครามในวอชิงตัน ได้เคยแก้รหัสซับซ้อนของเยอรมนีและญี่ปุ่นได้ แต่ไม่อาจแก้รหัสของเอกสารวอยนิชนี้ได้เลย ปริศนาทางวิทยาศาสตร์นี้อาจจะอยู่ในระดับเดียวกับแผนที่ปิริ ไรส์ การค้นพบของอาบูล วาฟาในเรื่องการแปรผันของดวงจันทร์ ดวงจันทร์ของดาวอังคารของสวิฟต์ เรื่องเหล่านี้ต่างมาจากสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น
             
แนวคิดเรื่องวัฒนธรรมที่เหนือกว่า ที่อารยธรรมหลังน้ำท่วมของเราได้มานั้น ล้วนปรากฏอยู่ในขอบเขตของการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์
             
ศาสตราจารย์เฟรเดริก โซดดี หนึ่งในผู้ก่อตั้งวิชานิวเคลียร์ฟิสิกส์ ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องเล่าสมัยโบราณ โดยตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องเหล่านั้น คงจะชี้บอกการมีอยู่ของอารยธรรมโบราณ ที่ไม่มีใครเคยคาดคิด และไม่เคยล่วงรู้เลย โดยที่ร่องรอยอื่น ๆ ทั้งปวงนั้นหายไปก็ได้
             
วิทยาศาสตร์ของเรานั้นไม่ใช่น้ำพุที่ผุดขึ้นมาจากหินแห้งแล้ง แต่เป็นสายธารยาวที่มาจากสายธารเล็ก ๆ มากมาย ส่วนที่ยิ่งใหญ่ของความรู้เราก็มาจากอดีตที่ทุกคนลืมไปแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ศิลา...ใน...อากาศ

ศิลา...ใน...อากาศ  (Stone ... in the air )         
เมื่องานก่อหินสมัยก่อนอินคาถูกเผยขึ้นที่โอลลันทายทัมโบ และซัคซาฮัวมัน ในเปรู น้ำหนักของหินเหล่านี้บางก้อนประมาณว่ามากกว่า 100 ตัน ไม่ว่าหินเหล่านี้จะมีมวลมากมายเพียงใดก็ตาม แท่งหินเหล่านี้อยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ที่ชัดเจนแน่นอน จนแทบจะมองรอยต่อด้วยตาเปล่าไม่เห็น ไม่มีผู้สร้างที่ใดในโลกที่จะเทียบได้กับงานสถาปัตยกรรมหินขนาดใญ่ของเปรูนี้ เว้นแต่ในอียิปต์
มหาพีระมิคูฟู
มหาพีระมิด หรือพีระมิดคูฟูแห่งอียิปต์ เป็นหนึ่งในงานก่อสร้างที่มีความละเอียดแม่นยำมากที่สุด ผู้สร้างจะต้องมีความรู้ในทางสถาปัตยกรรมและเรขาคณิตขั้นสูง กล่าวกันว่า กาลเวลาหัวเราเยาะทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พีระมิดหัวเราะเยาะกาลเวลา
           
หินขัดน้ำหนัก 15 ตัน ที่ฐานพีระมิดคูฟูนั้น มีขนาดที่เท่ากัน มีความแม่นยำในระดับ 1 ใน 100 ของนิ้ว กระดาษแผ่นบาง ๆ แทบจะสอดเข้าไประหว่างแท่งหินเหล่านี้ไม่ได้เลย ก่อนศตวรรษแห่งเทคโนโลยีปัจจุบัน ไม่มีชาติใดในประวัติศาสตร์ที่สามารถจำลองความละเอียดแม่นยำนี้ หากเรายอมรับการคำนวณเวลาสร้างมหาพีระมิดตามนักอียิปต์ศึกษาแล้ว สิ่งก่อสร้างนี้ซึ่งยังคงสูงที่สุดในโลกจนบัดนี้ ถือว่าก่อสร้างขึ้นในยุคเมื่อไม่มีปั้นจั่น หรือแม้แต่การใช้ล้อ เวลาเพียงหนึ่งศตวรรษก่อนเริ่มงานพีระมิด ชาวอียิปต์ยังคงก่อสร้างด้วยอิฐดินอยู่ ดังนั้นเราจะเชื่อหรือว่าในหนึ่งศตวรรษชาวอียิปต์โบราณจะมีความก้าวหน้าอย่างเด่นชัด โดยใช้เวลาเพียงยี่สิบปี ก็สามารถสร้างอาคารศิลาที่สูงที่สุดจนถึงศตวรรษนี้สำเร็จ
           
คำถามที่ว่าพีระมิดคูฟูนั้นสร้างขึ้นมาอย่างไร ยังไม่มีการอธิบายไว้อย่างน่าพอใจ ไดโอโดรุส ซิคูลุส เขียนไว้ว่า มีการใช้คนสร้าง 360,000 คน ในเวลายี่สิบปี ส่วนฮีโรโดตัสบอกว่าใช้คน 100,000 คนในเวลายี่สิบปี
           
จากนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก กล่าวว่างานที่ใช้คนงานมากขนาดนี้ ทำให้ฟาโรห์คีออปส์ หรือคูฟูต้องเสียชื่อเสียงอย่างสิ้นเชิง จากนั้นฟาโรห์ผู้โหดร้ายพาพระราชธิดาผู้ทรงเสน่ห์จากพระราชวังไปค้าทางเพศ อย่างไรก็ตาม หญิงสาวผู้นี้ต้องทำงานอย่างดีที่สุด เพราะ นางมิเพียงแต่จะได้รับทำตามพระราชโองการเท่านั้น หากยังตั้งใจจะสร้างอนุสรณ์ไว้เบื้องลัง ขอให้แขกแต่ละคน มอบศิลาแก่นางคนละก้อน เพื่อใช้ทำงานนี้ไปทำงาน
           
คงจะยากที่จะให้ยอมรับเรื่องเช่นนี้เป็นประวัติศาสตร์ ฮีโรโดตัสถูกนักบวชนักวิทยาศาสตร์ชาวอียิปต์ชักนำให้หลงผิด เพื่อปิดบังจุดมายที่แท้จริงของสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่นี้
เมื่อมีการวัดขนาดมหาพีระมิดในศตวรรษที่สิบเก้า ก็ทราบว่ามุมระหว่างด้านกับระนาบบนฐานนั้นเป็น 51 องศา 51 ลิปดา ถึง 51 องศา 52 ลิปดา เมื่อไม่มีเสาลักของพีระมิด ความสูงของสิ่งก่อสร้างนี้จึงหาได้จากวิธีการทางตรีโกณมิติ จากการคำนวณ โดยใช้เส้นรอบฐานหารด้วยความยาวสองเท่าของความสูง ก็จะได้ผลลัพธ์ที่น่าตื่นเต้น นั่นคือเท่ากับ 3.141449 หรือค่า PI นั่นเอง
         
ระยะทางโดยเฉลี่ยจากโลกไปยังดวงอาทิตย์ประมาณ 149.5 ล้านกิโลเมตร ความสูงของพีระมิดคีออปส์เป็น 147.8 เมตร หรือระยะ 1 หน่วยดาราศาสตร์ (ระยะจากโลกไปยังดวงอาทิตย์) หารด้วย 1 พันล้าน โดยมีความคลาดเคลื่อน 1 เปอร์เซนต์เท่านั้น
           
หน่วยความยามที่ใช้ในการสร้างพีระมิดนั้น เป็นกิวบิตพีระมิด เท่ากับ 635.66 มิลลิเมตร รัศมีของโลกจากศูนย์กลางไปยังขั้วโลกเท่ากับ 6,357 กิโลเมตร หรือกิวบิตพีระมิดหารด้วย 10 ล้าน เมื่อปลายศตวรรษที่สิบแปด 1 เมตรมาตรฐานได้จากค่า 1 ใน 140 ล้านของเส้นรอบโลก ณ กรุงปารีส หลังจากใช้เครื่องมือที่ละเอียดยิ่งขึ้นในศตวรรษนี้ ก็พบว่าค่าเมตรดังกล่าวมีความผิดพลาด ในขณะที่กิวบิตของอียิปต์เท่ากับ 10 ใน 10 ล้านของรัศมีโลก โดยมีความผิดพลาดเพียง 1 ใน 100 ของมิลลิเมตร        
มหาพีระมิคูฟู
ความยาวของฐานพีระมิดด้านหนึ่งเท่ากับ 365.25 กิวบิต แต่ก็มีวัน 365.25 วันในหนึ่งปี อันเป็นความบังเอิญอย่างน่าประหลาดระหว่างสัดส่วนของพีระมิดกับข้อมูลทางดาราศาสตร์ ดูเหมือนว่าเราจะต้องเสาะหาแบบพิมพ์เขียงของมหาพีระมิดในแอตแลนติสเป็นแน่
           
หลังจากศึกษามิติทางเรขาคณิตของพีระมิดคูฟูเป็นเวลานาน เอ.เค. อะบรามอฟ วิศวกรชาวมอสโกก็สรุปว่า พีระมิดมีคำตอบแก่ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในเรื่องการวาดสี่เหลี่ยมจากวงกลม เขาเชื่อว่าชาวอียิปต์โบราณจัดการกับเรื่องนี้ โดยใช้ระบบเลข 7 ในการกำหนดค่า PI เป็นค่า 22/7 นอกจากนี้ เขายังค้นพบว่าชาวอียิปต์ใช้ค่าเรเดียนหรือ PI/6 เป็นหน่วยพื้นฐานการวัด
             
ในการสัมภาษณ์ที่มอสโก เอ.เค. อะบรามอฟกล่าวกับผู้เขียนว่า เราจำเป็นต้องพิจารณาภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ ซึ่งกำหนดภาพปรากฏของสัดส่วนวงกลมในการปฏิบัติจริง ให้เราลองนึกย้อนไปในอดีต 4,500 ปี จนถึงสมัยการสร้างมหาพีระมิด เคยมีความคิดอย่างมีเหตุผลในข้อเท็จจริงทางวัตถุมากมาย และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างความยาวของเส้นรอบวงกับเส้นผ่าศูนย์กลาง นั่นคือ 22/7 ในระบบเลข 7 ในเวลาเดียวกันนี้ ก็มีการค้นพบความจริงอื่น ๆ ที่มีความสัมพันธ์กัน ในจำนวนนี้ได้แก่การยืดเส้นรอบวง ส่วนทั้งสามของมุม การทวีคูณของลูกบาศก์ โดยไม่ปรับเปลี่ยนรูปแบบ การแปลงปริมาตรของลูกบาศก์ไปเป็นปริมาตรของวงกลม ฯลฯ นี่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏในธรรมชาติ และข้อเท็จจริงที่ค้นพบนั้น บรรจุอยู่ในความเป็นจริงทางวัตถุ อย่างไรก็ตาม ยังมีการยืนยันว่า พีระมิดคูฟูนั้น สร้างจากมิติของพีระมิดที่บ่งค่าเป็นเรเดียน ความเท่ากันนี้ของเส้นรอบรูปสี่เหลี่ยมทั้งสี่ของพีระมิดคูฟู สมการที่สองเป็นเส้นรอบวง เมื่อใช้รัศมีเท่ากับความสูงของพีระมิด (2PIr)
440 X 4 = 1760
2 X (22/7) X 280 = 1760 (1 เรเดียน = PI/6 = 0.5238095)
           
อะบรามอฟกล่าวว่า นักบวชอียิปต์โบราณใช้แนวคิดที่แปลก ในเรื่องมิติทั้งสามของอวกาศ สำรับพวกเขาแล้ว จุดก็คือจุดเริ่มต้นของทิศทางทั้งสาม คือ ความยาว ความกว้าง และความหนา
           
อะบรามอฟกล่าวต่อว่า พีธากอรัสสามารถรับรู้ถึงความมั่งคั่งของศาสตร์แห่งเรขาคณิต ซึ่งอยู่เบื้องหน้าเขา ขณะไปเยือนอียิปต์ ความรู้ของชาวอียิปต์นั้นยิ่งใหญ่มาก เป็นที่มาของปริศนาสำคัญ นั่นก็คือศาสตร์อันล้ำลึกนั้นมียั่งยืนมาตลอดยุคสมัย เพื่อเผยถึงปัญญาของผู้สร้าง
             
นักคณิตศาสตร์อาจจะกล่าวว่า ขอให้พีระมิดทั้งปวงจะแหลกเป็นผง อย่างไรก็ตาม นับเป็นเรื่องง่ายมากที่จะพิสูจน์ว่าเราไปถึงจุดสุดยอดของอารยธรรม และไม่มีใครในอดีตจะมีความชาญฉลาดยิ่งกว่ามนุษย์ในทุกวันนี้โลบาคอฟสกี้ได้แสดงถึงความเป็นสากลของเรขาคณิตอวกาศ ศาสตร์อันยิ่งใหญ่นี้ถูกนำไปยังดินแดนแห่งอียิปต์ด้วยวิธีการบางประการ แต่ใครเป็นผู้นำไปเล่า และนำมาจากที่ใด หาก บุตรพระอาทิตย์ ผู้ให้กำเนิดเป็นผู้รับวัฒนธรรมจากอวกาศแล้ว ปริศนามากมายก็ถูกไขออก ศาสตร์สากลแห่งเรขาคณิตได้พิสูจน์ว่า ชีวิตบนโลกอื่นนั้นอาจจะมีปรากฏมาก่อน แต่ก็เป็นไปตามรูปแบบเดิมในขอบข่ายความรู้เช่นบนโลกนี้
              
อารยธรรมอวกาศอื่น ๆ อาจจะได้เรียนรู้ว่าจะผลิตพลังงานจากวิธีต่าง ๆ ได้อย่างไร พวกเขาอาจจะเปลี่ยนแสงไปเป็นพลังงานขับเคลื่อน โดยปราศจากเครื่องเร่งใด ๆ เลยก็ได้ ในกรณีนั้นพวกเขาอาจจะมียานอวกาศที่สร้างออกมาแปลกกว่าที่เราสร้างในทุกวันนี้ก็ได้ เอ.เค. อะบรามอฟสรุป
             
เมื่อถกเถียงถึงท้ายสุด ผู้เขียนก็นึกถึงเรื่องเกี่ยวกับไอน์สไตน์ เมื่อมีคนถามว่า การค้นพบเกิดขึ้นได้อย่างไร? ไอน์สไตน์ก็ตอบว่า เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดในปัจจุบันต่างเห็นพ้องว่ามีบางสิ่งเป็นไปไม่ได้ การจะก้าวไปแก้ปัญหาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ไปนั้น ก็สายเสียแล้ว
             
ยิ่งมีการศึกษาพีระมิดมาขึ้น ก็ยิ่งให้ความรู้สึกว่าเผ่าพงศ์ของยักษ์วิทยาศาสตร์เป็นผู้สร้าง            
ยังมีเรื่องหนึ่งเล่าว่า อนุสาวรีย์ศิลาขนาดใหญ่มโหฬารนี้ สร้างขึ้นด้วยการสั่นสะเทือนของเสียง ทำให้ลดแรงโน้มถ่วง เนื่องจากสาเหตุบางอย่าง อาจจะด้วยเวทมนต์ ดนตรี และแท่งแม่เหล็ก ซึ่งจะช่วยยกหินขึ้นไปในอากาศได้ นี่คือความเป็นไปได้ในเรื่องเพ้อฝัน ที่ควรจะเกิดขึ้นในยุคการบินอวกาศเท่านั้น
           
ชาวอาหรับมีตำนานที่น่าสนใจเรื่องการสร้างพีระมิดคูฟู พวกเขาวางแผ่นปาปิรัสที่เขียนความลับมากมายไว้ใต้ศิลา และยึดด้วยแท่งวัตถุ จากนั้นก็ยกสู่อากาศในระยะยิงลูกศรถึง ด้วยวิธีนี้ ท้ายสุดพวกเขาก็ก้าวถึงพีระมิดได้ คนโบราณจะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องแรงผลักมากพอกับแรงดึงดูด แต่ศาสตร์ของพวกเขา แนวทางในการแสวงหาพลังงานและสสารต่างกัน      
แท่งหินในบาลเบก เทอร์เรส
แท่งหินในบาลเบก เทอร์เรสในเลบานอน หนักมากกว่าหินในมหาพีระมิด 50 ถึง 100 เท่า แม้แต่ปั้นจั่นขนาดยักษ์ในทุกวันนี้ก็ไม่อาจยกหินเหล่านี้จากเชิงเขาไปบนยอดแบนราบได้เลย แล้วยักษ์ตนใดเล่าที่สร้างอาคารหินขนาดใหญ่เหล่านี้ในเลบานอน อียิปต์ และเปรู
             
ฟรองซัว เลนอร์มองเขียนเรื่องนครเวทมนต์คาลเดียน อันเป็นตำนานเกี่ยวกับนักบวชแห่งโอน ผู้ยกหินก้อนมหึมาขึ้นได้ด้วยเสียง ที่ปกติใช้คนสักพันก็ไม่อาจทำให้เขยื้อนได้ นี้เป็นเพียงเรื่องปรัมปรา หรือเป็นความทรงจำพื้นบ้านเรื่องความประทับใจกับศาสตร์ที่หายไปกันแน่
           
ลูเซียน (ค.ศ.155) พิสูจน์ความเป็นจริงของแรงต้านแรงโน้มถ่วง ในประวัติศาสตร์โบราณ เมื่อเขาเขียนเกี่ยวกับภาพของอะพอลโล่ ในอารามไฮราโพลิส เมื่อนักบวชพระผู้เป็นเจ้า เทพอะพอลโล ก็ปล่อยพวกเขาลงบนพื้น และลอยไปตัวคนเดียว เรื่องนี้ปรากฏในสมัยของลูเซียนเอง        
ศิลาลอยได้ในเมือง ปูนา
มีคนไม่กี่คนที่รู้ว่าความประทับใจของคนโบราณ ในสิ่งที่อาจจะเรียกได้ว่า ศาสตร์สมัยก่อนประวัติศาสตร์นั้น เกิดขึ้นแม้กระทั่งในทุกวันนี้ ที่ใกล้กับเมืองปูนา ทางตะวันตกของประเทศอินเดีย มีหมูบ้านศิวะปุระ ติดถนนสัตระ มีมัสยิดเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง สร้างอุทิศแก่ คามาร์ อาลี เดอร์วิส นักบุญ ซูฟี ด้านหน้าของมัสยิดมีเนินทรงกลมขนาดใหญ่สองที่ หินแกรนิตแท่งใหญ่หนัก 120 ปอนด์ และแท่งเล็ก 90 ปอนด์
           
กลุ่มผู้แสวงบุญประจำวัน และผู้มาเที่ยวยืนอยู่รอบหินก้อนหนึ่ง พลางท่องชื่อของ คามาร์ อาลี เดอร์วิส เสียงแหลมใสและดัง ขณะเดียวกันก็ใช้นิ้วเท้าขวาแตะก้อนหินนั้น ด้วยเหตุผลบางอย่าง จึงกำหนดให้คนเพียงสิบเอ็ดคนมาล้อมรอบหินก้อนใหญ่ ในทันใด หินนั้นก็ยกตัวขึ้น ไร้น้ำหนักขึ้นมาทันที ภายในไม่กี่วินาที ก็ยกตัวสูง 6 ฟุต และลอยอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะตกลงพื้นดังสนั่น สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับหินอีกก้อน แต่ใช้คนล้อมรอบเก้าคน
ศิลาลอยได้ในเมือง ปูนา
ปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้ ปรากฏหลายครั้งในหนึ่งวัน เป็นที่น่าพิศวงสุดจะพรรณนาได้ สำหรับผู้ร่วมพิธีหรือเฝ้าดู ปกติแล้วจะต้องใช้คนหกคน เพื่อแบกหินแกรนิตก้อนใหญ่ด้วยปากคีบที่แข็งแรง และต้องมีการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นเพียงพอ เกี่ยวกับการยกหินนี้ เพราะทุกคนสามารถเป็นผู้ร่วมยกหินนี้ ไม่ว่าชาวมุสลิม พุทธ พราหมณ์ คริสต์ หรือลัทธิอื่น ๆ ผู้คนต่าง ๆ กันที่มาร่วมพิธีนี้ในแต่ละวัน ไม่อาจบอกได้เลยว่า สิ่งดังกล่าวสำเร็จลงได้อย่างไร
           
อย่างไรก็ตาม ยังมีความจริงอยู่ว่า หินหนักที่ยกสูงขึ้นไปในอากาศ 6 ฟุต ค้านกับหลักทั้งปวงทางฟิสิกส์ในยุคอวกาศเช่นนี้ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่องพยายามจะไขความลับของแรงโน้มถ่วงนี้ ปรากฏการณ์แปลกประหลาดดังกล่าวควรจะมีผู้สืบค้นอย่างจริงจัง ไม่ว่าคลื่นเสียงจากการสวดอย่างมีจังหวะจะโคน กระแสชีวิตจากปลายนิ้วมือ หรือผลร่วมกันที่ลดแรงโน้มถ่วงจากก้อนหินนี้ ต่างเป็นสิ่งที่ควรจะคาดคิดถึง อย่างไรก็ตาม หากคำว่า คามาร์ อาลี เดอร์วิส ไม่ดังชัดเจนแล้ว หินนั้นจะไม่ยกตัวขึ้น
             
ความน่าอัศจรรย์เรื่องนี้ของอินเดีย สามารถเป็นตัวอย่างของวิธีการสร้างงานหินและพีระมิดในยุคเก่าแก่ได้

วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อิเล็กทรา... ธิดา แห่งแอตลาส

อิเล็กทรา... ธิดา แห่งแอตลาส           
เซลล์ไฟฟ้าที่สร้างขึ้นในบาบิโลนโบราณ
ชาวกรึกโบราณมีเรื่องปรัมปราอย่างหนึ่ง นั่นคือ แอตลาส (อัตลาส) ผู้ค้ำเสาในทะเล ไกลพ้นจากเส้นขอบฟ้า สุดทางตะวันตก มีธิดาชื่ออิเล็กทรา บ้างก็ว่าเทพเจ้าโอเซียนุส เป็นบิดาของนาง คำว่า อิเล็กทรา (Electra) นั้นในภาษากรีกหมายถึง สิ่งที่สว่างสดใส นอกจากนี้ยังหมายถึงแท่งอำพัน ซึ่งให้ไฟฟ้าออกมาจากการเสียดสี ในเมื่อปกติแล้วเราถือกันว่า แอตลาสก็คือ แอตแลนติส แล้วเราจะไม่คิดว่ามีไฟฟ้าอยู่ในแอตแลนติสหรอกหรือ ?
             
เมื่อวันสุกดิบก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง วิลเฮล์ม โคนิก วิศวกรและนักโบราณคดีชาวเยอรมัน ได้ค้นพบสิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งในประเทศอิรัก ในช่วงการขุดค้นใกล้เมืองแบกแดด เขาก็บังเอิญพบหมู่บ้านพาร์เธียน มีโอ่งประหลาดจำนวนมาก ทำให้โคนิกนึกถึงแบตเตอรี่แบบปฐมภูมิ เพราะรูปร่างหน้าตาคล้ายอย่างนั้น ในโอ่งหรือไหดังกล่าวมีม้วนแผ่นทองแดงม้วนหนึ่ง ภายในนั้นมีแท่งเหล็กสอดอยู่ คาดว่าทำหน้าที่เป็นขั้วไฟฟ้า ขอบของแผ่นทองแดงนั้นบัดกรีเข้ากับโลหะผสมตะกั่วดีบุก 60:40 แท่งเหล็กนั้นฝังอยู่ในตัวยึดแอสฟัลต์ มีจานทองแดงจีบวางอยู่ที่ส่วนล่างสุดของของแผ่นทองแดงนี้ และมีการใช้แอสฟัลต์เป็นฉนวน ช่องว่างระหว่างผนังกระบอกทองแดงกับแท่งเหล็กมีสารละลายตัวนำไฟฟ้าบรรจุอยู่ แต่เนื่องจากความเก่า แบตเตอรี่ที่โคนิกพบจึงไม่มีร่อยรอยทางเคมี
ลักษณะทางโครงสร้างของเซลล์ไฟฟ้า
วิลลี ลีย์ นักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงได้ให้ความสนใจกับการค้นพบนี้ และขอร้องให้บริษัทเยเนอรัลอิเล็กทริกที่พิตต์สฟิลด์ รัฐแมสซาชูเส็ทท์ ได้ลองสร้างแบบจำลอง และทดสอบเซลล์ดังกล่าวว่าจะเป็นแบตเตอรี่จริง เยเนอรัลอิเล็กทริกได้จำลองแบตเตอรี่นี้ขึ้น และบรรจุคอปเปอร์ซัลเฟตแทนสารตัวนำไฟฟ้าที่เราไม่ทราบ และปรากฏว่าแบตเตอรี่ดังกล่าวไช้งานได้จริง

นักโบราณคดียังค้นพบโลหะชุบด้วยไฟฟ้าอายุ 4,000 ปี ในสถานที่เดียวกับที่พบเซลล์ไฟฟ้านั้น 
         
วัสดุทองแดงที่ค้นพบได้ในเปรูก็ชุบด้วยทองคำ เครื่องประดับ หน้ากาก และลูกปัดอื่น ๆ ชุบด้วยเงิน และมีวัสดุเงินจำนวนมากที่ชุบด้วยทองคำ นักเขียนและนักโบราณคดีชาวอเมริกันนามว่าเวอร์ริลล์กล่าวว่า การชุบไฟฟ้านั้นทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ และประณีตมาก ทำให้ทุกคนที่ได้พิจารณาลงความเห็นว่า หากไม่ทราบว่ามีที่มาอย่างไร ก็ต้องบอกว่าเป็นการชุบด้วยไฟฟ้า
           
หลุมศพของนายพลเชาชูของเมืองจีน (ค.ศ.265 - 316) เป็นเรื่องลี้ลับที่ยังไม่มีใครทราบ การแยกสีของเครื่องประดับโลหะ แสดงว่ามีทองแดงร้อยละ 10 แมกนีเซียมร้อยละ 5 และอะลูมิเนียมร้อย 85 อะลูมิเนียมนี้ดูจะแปลกที่สุดในหลุมศพโบราณ เพราะต้องสร้างขึ้นมาด้วยการแยกสลายด้วยไฟฟ้า มีการทดสอบซ้ำหลายครั้ง แต่ก็ได้ผลเช่นเดิม นั่นหมายความว่า ชาวจีนใช้ไฟฟ้าในศตวรรษที่สี่อย่างนั้นหรือ
             
คัมภีร์โบราณที่ชื่อ อคัสตยะ สัมหิตา เก็บรักษาอยู่ในหอสมุดอินเดียนปรินเซส ที่เมืองอุชไชน มีคำแนะนำที่น่าแปลกใจ เรื่องการสร้างแบตเตอรี่เซลล์แห้ง แผ่นทองแดงสะอาดควรวางไว้ในภาชนะดินเผา จากนั้นในชั้นแรกควรโรยจุนสี และจากนั้นปิดด้วยขี้เลื่อยชื้น จากนั้นใช้แผ่นสังกะสีผสมปรอทเพื่อป้องกันการเกิดขั้ว วางไว้บนชั้นขี้เลื่อย จากนั้นจะเกิดพลังงานเหลวที่เรียกด้วยนามคู่ว่า มิตรา - วารุณา น้ำจะถูกแยกด้วยกระแสนี้ เกิดเป็นปราณวยุ และอุทนวยุ การใช้ภาชนะดังกล่าวรวมเข้าด้วยกันหนึ่งร้อยชิ้น กล่าวว่าจะให้ประสิทธิภาพและพลังอย่างมาก
           
มิตรา - วารุณา นั้น ตีความได้ง่าย ๆ ว่าเป็นขั้วบวก ส่วนปราณวยุและอุทนวยุ ก็คือออกซิเจนและไฮโดรเจน ฤๅษีอคัสตยะผู้ชาญฉลาดนั้นยังมีชื่อในประวัติศาสตร์ว่า กุมภโยนิ จากคำว่า กุมภ หรือโอ่ง (หม้อ) จากเรื่องโอ่งดิน ที่ท่านใช้สร้างแบตเตอรี่ และโยนิ หมายถึงแหล่งกำเนิด นอกจากนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างบุษบกวิมาน หรืออากาศยานด้วย      
นอกจากแบตเตอรี่แล้ว ประวัติศาสตร์ยังกล่าวว่ามีเรื่องน่าอัศจรรย์ที่สร้างโดยคนโบราณ โอวิดเขียนไว้ว่า นูมา พอมพิลิอุส กษัตริย์องค์ที่สองของโรมเคยปลุกจูปิเตอร์เพื่อจุดแท่นบูชา โดยใช้เปลวไฟจากฟ้า นูมาโปรดให้ไฟชั่วนิรันดร์มาเผาไหม้ในโดมของอารามที่ทรงสร้าง เพาซาเนียสได้สังเกตตะเกียงทองคำในอารามเนรวา เมื่อปี ค.ศ.170 ตะเกียงนั้นให้แสงสว่างมานับปีโดยไม่มีการเติมเชื้อเพลิง
             
ในบรรดาหลุมศพใกล้เมืองเมมฟิส นครโบราณแห่งอียิปต์ มีแสงที่ลุกโชนตลอดกาล ที่พบในหอปิดสนิท แต่หลังจากโดนอากาศ เปลวไฟนั้นก็ดับลง ตะเกี่ยงที่ติดตลอดกาลลักษณะคล้ายกันนี้ ทราบว่ามีมีอยู่ในโบสถ์พราหมณ์ในอินเดียด้วย
             
รูปปั้นเมมนอนในอียิปต์พูดได้ ทันทีที่แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องมาที่ปาก เสียงนั้นออกมาจากฐานรูปปั้น จูเวนัลกล่าวว่า เมมนอนเปล่งเสียงวิเศษของตนออกมา ส่วนชาวอินคาก็มีเทพเจ้าพูดได้ ในหุบเขาริมัค ไม่จำเป็นต้องกล่าวเลยว่าการสร้างรูปปั้นนี้ต้องใช้ความรู้ทางฟิสิกส์อย่างดี
ยังมีเหตุผลต่าง ๆ ที่จะเชื่อว่าแสงวาบจากดวงตาของเทพเจ้าอียิปต์ โดยเฉพาะของเทพอิซิสย่อมเกิดจากกระแสไฟฟ้า เพราะการใช้งานแปลกประหลาดต่าง ๆ ในอียิปต์
             
ลูเซียน (ค.ศ.120 - 180) นักท่องเที่ยวชาวกรีกได้เดินทางไปยังไฮเอราโพลิส ในซีเรียตอนเหนือ และบรรยายถึงความมหัศจรรย์ที่นั่น เขาเห็นเพชรพลอยบนศีรษะเทพเฮรา มีแสงวูบวาบอย่างเจิดจ้า ดังนั้นอารามจึงสุกสว่างราวกับแสงเทียนสุดแสนคณานับ ยังมีเรื่องอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือดวงตาของเฮรานั้นจะมองตามตน ไม่ว่าเขาจะขยับไปทางใดก็ตาม ลูเซียนมิได้อธิบายปรากฏการณ์นี้ เพราะเขาอธิบายไม่ได้ นักบวชปิดบังศาสตร์ของตนไว้ในความมืดมิให้เขาทราบ
           
ภาพฝาผนังที่สีสดใส ทั้งบนผนังและเพดานของหลุมศพหิน ตัดในอียิปต์ จะต้องมีการทาสีท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้า อย่างไรก็ตาม แสงแดดก็ไม่เคยได้ย่างกรายเข้าไปในหอมืดนี้เลย ไม่มีแสงจากคบไฟ หรือตะเกียงน้ำมัน แล้วแสงไฟฟ้ามีใช้ในหอเหล่านี้อย่างนั้นหรือ ?
             
ความลี้ลับแห่งอารามฮาดัด หรือจูปิเตอร์ ที่บาลเบก มีความสัมพันธ์กับหินเรืองแสง การมีหินเหล่านี้อยู่ทำให้กลายเป็นแหล่งกำเนิดแสงในเวลากลางคืนในสมัยโบราณ คงจะไม่เป็นที่กังขา เพราะมีนักเขียนได้เขียนเรื่องเหล่านี้มามากมายแล้ว
         
พลูตาร์ชได้เขียนไว้ในศตวรรษที่หนึ่งว่า ตนได้เห็น ตะเกียงที่สว่างชั่วนิรันดร์ ในอารามจูปิเตอร์ อะมุน ที่นักบวชยืนยันแก่เขาว่า จะสว่างต่อเนื่องไปหลายปี ไม่ว่าลมหรือน้ำก็ไม่อาจทำให้ตะเกียงนี้ดับ สุสานหินแห่งพัลลัส บุตรของอีแวนเดอร์ ไม่มีอะไรจะดับได้ กระทั่งในเวลาต่อมาต้องแตกเป็นเสี่ยง ๆ เนื่องจากการนำมาใช้อย่างไม่ใส่ใจ เซนต์ออกุสทิน (ค.ศ.354) บรรยายถึงตะเกียงที่สว่างตลอดกาลที่เห็นในอารามแห่งวีนัส ส่วนเคเดรนุสเห็นตะเกียงอมตะที่อีเดสซา ในซีเรีย ซึ่งลุกโชนมาห้าร้อยปีแล้ว
             
อับบี เอวาริสตี เรกิส ฮูค (ค.ศ.1813 - 1860) ประกาศว่าเขาได้ตรวจสอบตะเกียงดวงหนึ่งในทิเบตที่ลุกสว่างชั่วนิรันดร์          
เรื่องเล่าเกี่ยวกับตะเกียงประหลาดยังมีในอเมริกาด้วยเช่นกัน เมื่อ ค.ศ.1601 บาร์โก เคนเตเนรา ได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับนครกัน โมกโซ ใกล้กับต้นแม้น้ำปารากวัย แมตโต กรอสโซ ในเรื่องนี้เขาได้ให้ภาพนครเกาะลึกลับจากความทรงจำของนักล่าอาณานิคม ดังนี้ .-
           
ในตอนกลางของทะเลสาบมีเกาะแห่งหนึ่ง บนนั้นมีสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นอย่างเลอเลิศงดงามยิ่ง เกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจได้ วิหารของเทพเจ้ากรัน โมกโซ นี้สร้างด้วยศิลาสีขาว จากฐานถึงหลังคา ที่ทางเข้ามีหอคอยสูงมากสองหลัง และมีทางขึ้นบันไดอยู่ตรงกลางที่เสาตรงกลาง ทางด้านขวามีสิงโตเป็น ๆ สองตัว (เสือจากัวร์ - โทมัส) นอนหมอบอยู่ข้าง ๆ ผูกโซ่ทองไว้ที่ยอดเสาสูง 25 ฟุตนั้น มีพระจันทร์ดวงใหญ่ส่องสว่างไปทั่วทะเลสาบ ขจัดความมืดและเงาทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งหมดนั้นจึงสว่างสดใสมาก
             
นายพัน พี.เอช. ฟอว์เซตต์ ได้รับคำบอกเล่าจากชาวพื้นเมืองในแมตโตกรอสโซว่า แสงเย็นที่ลึกลับนั้น พวกเขาเห็นได้ในนครที่สาบสูญในป่าทึบ เมื่อเขียนจดหมายไปหานักเขียนชาวอังกฤษ นามว่า ลิวอิส สเปนซ์ เขากล่าวว่า คนพวกนี้มีแหล่งความสว่าง ซึ่งเป็นเรื่องแปลกสำหรับพวกเรา ความจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นก็คือ ซากอารยธรรมที่สูญหายไปแล้ว และยังเหลือความรู้เก่าเอาไว้
             
มันตัน อินเดียนผิวขาวในอเมริกาเหนือ มีความทรงจำในเรื่องราวสมัยที่บรรพบุรุษของตนอาศัยอยู่ใน นครที่มีไฟไม่รู้ดับ ไกลโพ้นจากมหาสมุทร นั่นคือแอตแลนติสใช่หรือไม่ ?
             
เพียงไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมานี้ ทราบกันว่า ชาวเกาะทอร์เรส สเตรท มีหินกลม หรือ บูยา ซึ่งให้แสงวาบออกมาได้ หินเปล่งแสงนี้ประดับด้วยเปลือกหอย ผม ฟัน และสีสันต่าง ๆ แสงสีฟ้าเขียว ซึ่งจะเปล่งออกมาจากระยะไกลมาก เป็นปริศนาอย่างยิ่งแก่คนผิวขาวที่ได้เห็น บูยา
             
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา พ่อค้าในนิวกินี ได้ค้นพบหุบเขาในป่าทึบ ใกล้ภูเขาวิลเฮลมินา ที่มีหญิงร่างกายกำยำอาศัยอยู่ พวกเขากลัวมากเมื่อได้เห็นหินกลมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 ฟุตวางอยู่บนยอดเขา มีแสงสว่างออกมาเหมือนแสงนีออน ซี.เอส. ดาวนีย์ ตัวแทนของการประชุมการจราจรและไฟบนถนนในพรีโทเรีย ในแอฟริกาใต้ มีความประทับใจมากกับการเปล่งแสงในป่านิวกินีนี้ โดยเขากล่าวไว้เมื่อ ค.ศ.1963 ว่า หญิงเหล่านี้ตัดขาดจากโลกภายนอก อาจจะชอบระบบส่องสว่างแบบประดิษฐ์ที่เทียบเท่ากัน หรือเหนือกว่าในศตวรรษที่ยี่สิบ เป็นไปได้ยากเหลือเกินที่หญิงร่างกายกำยำในป่านั้น จะพัฒนาระบบการใช้แสงเหนือกว่าพวกเรา มีความเป็นไปได้อย่างมาก ว่าเขาได้รับมรดกทรงกลมส่องสว่างนี้ จากอารยธรรมที่ไม่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของเรา
           
การมีระบบให้แสงสว่างประดิษฐ์ในสมัยโบราณ ได้รับการยืนยันจากเรื่องพื้นบ้านและนักเขียนสมัยคลาสสิก อิเล็กทรา ธิดาผู้ให้แสงของแอตลาส อาจจะเป็นเพียงสัญลักษณ์ของไฟฟ้าในแอตแลนติสก็ได้

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วิวัฒนาการ และ นักปราชญ์ ดวงดาว


วิวัฒนาการ และ นักปราชญ์ ดวงดาว  
Stars evolution and Zeno           
เป็นเวลานับศตวรรษ ๆ มาแล้ว ที่พราหมณ์มีตารางดาราศาสตร์ สุรยสิทธันตะ ที่ก้าวหน้าในคัมภีร์ทางดาราศาสตร์ของอินเดียโบราณนี้ กล่าวว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของโลกนั้น คำนวณได้เป็น 7,840 ไมล์ ระยะทางจากโลกถึงดวงจันทร์ คำนวณได้ 253,000 ไมล์ ค่าที่ได้นี้เป็นที่ยอมรับจากดาราศาสตร์สมัยใหม่ เพราะเส้นผ่าศูนย์กลางที่เส้นศูนย์สูตรของโลกเราเท่ากับ 7,926.7 ไมล์ และระยะทางไกลสุดไปยังดวงจันทร์นั้นถือว่าเป็น 252,710 ไมล์ จากค่าที่ได้นี้ เราจะเห็นความแม่นยำอย่างน่าประหลาดใจของดาราศาสตร์โบราณของอินเดีย โดยเฉพาะในสมัยที่ชาวยุโรปกำลังมีปัญหากับความคิดว่าโลกแบน การรวบรวมสุรยสิทธันตะนั้นเกิดขึ้นเมื่อประมาณ ค.ศ.1000 แต่ชาวฮินดูก็เชื่อว่าผู้รวบรวมคนก่อนนั้นมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล หากเป็นเช่นนั้น คัมภีร์เล่มนี้ก็เป็นปัญหาหนักขึ้นมาอีก

ในคัมภีร์ภาษาสันสกฤตของมนุษย์ เราพบแนวคิดเรื่องวิวัฒนาการในอินเดียก่อนหน้าลามาร์ค และดาร์วิน นับพัน ๆ ปี โดยกล่าวว่า เชื้อแรกของสิ่งมีชีวิตพัฒนาขึ้นมาจากน้ำและความร้อน มนุษย์จะข้ามผ่านจักรวาล ค่อย ๆ ลงมา และผ่านก้อนหิน, ต้นไม้, ตัวหนอน, แมลง, ปลา, งู, เต่า, สัตว์ป่า, วัวควาย, และสัตว์ชั้นสูง เหล่านี้คือการเปลี่ยนสภาพที่ประกาศไว้ ซึ่งต้องเกิดในโลกของมนุ จากพืชพันธุ์ไปสู่พรหม
           
วิวัฒนาการตามแบบฉบับโบราณนี้ เป็นความคิดที่ฝังลึกในเหล่านักพรตหรือเป็นของขวัญจากขุมทรัพย์สมัยเก่าก่อน ที่พิทักษ์ไว้โดยนักบวชสมัยแรกเริ่มของอินเดีย
             
จักรวาลวิทยาของฮินดู ได้ประมาณอายุขัยของระบบสุริยะไว้เป็นล้าน ๆ กัลป์หรือวันของพรหมนั้น คืออายุขัยของโลกเรา ถือว่าเท่ากับ 4,320 ล้านปี อายุในปัจจุบันของโลก จากการวัดอายุด้วยอาร์กอน เท่ากับ 5,000 ล้านปี แม้ว่าวิทยาศาสตร์สมัยใหม่และเรื่องเล่าของพราหมณ์จะไม่ตรงกันทีเดียวนัก ในเรื่องช่วงเวลาของวิวัฒนาการของดวงอาทิตย์ แต่ลำดับเวลาทางจักรวาลของอินเดียก็น่าประทับใจอย่างยิ่ง เพราใช้เวลาเป็นล้านปีเช่นเดียวกับวิทยาศาสตร์

ดรูเซสแห่งเลบานอนมีความเชื่อว่าโลกมีอายุ 3,430 ปี ในสมัยฮะกิม จารึก เมตเตอร์นิช ของอียิปต์อ้างถึง เรืออายุเป็นล้านปี ที่เทพเจ้าเรใช้ เหล่านี้คือการบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า ชาวโบราณคิดว่าจักรวาลมีความเก่าแก่มาก การคะเนของพวกเขามีความเป็นวิทยาศาสตร์ และเชื่อถือได้มากกว่าข้อสรุปของบรรพบุรุษในศตวรรษที่สิบแปดของเรา เกี่ยวกับโลกว่ามีอายุเพียงไม่กี่พันปีเท่านั้น แหล่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ลี้ลับนี้ถูกซ่อนเร้นในห้วงลึกแห่งกาลเวลา
         
นักปราชญ์แห่งอินเดียยังเขียนเรื่องราวเกียวกับความเล็กอย่างไม่มีขีดจำกัดในคัมภีร์ต่าง ๆ เช่น สุรยสิทธันตะ หรือพฤหัถสถก ในสมัยก่อนนั้นมีการแบ่งวันออกเป็นหกสิบกาล หรือฆติกะ แตะละกาลเท่ากับยี่สิบสี่นาที แล้วแบ่งย่อยลงเป็น 60 วิกาล แต่ละวิกาลเท่ากับยี่สิบสี่วินาที จากนั้นก็แบ่งลงไปเป็นหกสิบส่วนเรื่อยไป จากวิกาลเป็นปะระ, ตัตปะระ, วิตัตปะระ, อิมะ, และกัษฏะ หลังจากแบ่งเวลานี้แล้ว พราหมณ์ก็มาถึงหน่วยที่เล็กที่สุด คือ กัษฏะ ซึ่งเทียบเท่ากับ 0.00000003 (หนึ่งในสามร้อยล้านวินาที) ไม่จำเป็นต้องกล่าวเลยว่า หากปราศจากเครื่องมือที่แม่นยำแล้ว กัษฏะในฐานะเศษส่วนย่อยของไมโครวินาที ก็จะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง


เราอยากจะสรุปว่า การวัดเวลานี้เป็นเพียงเรื่องเล่าที่นักปราชญ์เล่าสืบต่อมา จากอารยธรรมที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้า ที่อาจจะคุ้นเคยกับนิวเคลียร์ฟิสิกส์ ความจริงแล้วผู้เขียนได้ค้นพบสิ่งน่าตื่นเต้นอย่างหนึ่งในช่วงที่อยู่ในอินเดีย นั่นคือ กัษฏะ (3 X 10-8) นั้น มีความใกล้เคียงกับอายุของเมซอน และไฮเปอรอนอย่างน่าแปลกใจ...

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ปรัชญาสู่ปรมาณู(Atomic philosophy to)

ปรัชญาสู่ปรมาณู (Atomic philosophy to)
นักพรตแห่งโลกโบราณทราบถึงข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์บางประการก่อนพวกเราในสมัยหลังนี้ได้ด้วยวิธีใด ในสมัยโบราณ การคะเนทางปรัชญาอย่างชาญฉลาดอาจมีได้ แต่ปรากฏอยู่เสมอว่าเป็นความรู้ที่เป็นจริงมากกว่าการคาดคะเนอย่างคลุมเครือ
                  รอยอุกกาบาตบนดวงจันทร์                           
เมื่อประมาณสองพันห้าร้อยปีมาก่อน อะนักซิมีเนสมิได้ทราบเพียงความไกลของดวงดาวเท่านั้น หากยังรู้จักดาวใกล้เคียงที่ไม่สว่างด้วย ในขณะที่เรามีข้อมูลของระบบสุริยะอื่น ๆ เมื่อไม่นานมานี้เอง อะนักซากอรัส (500 - 428 ปีก่อนคริสตกาล) ก็เขียนทำนองเดียวกันเกี่ยวกับ โลกอื่นที่ให้เสบียงที่จำเป็นแก่ผู้อาศัย แม้เวลาจะล่วงมาหนึ่งหรือสองศตวรรษแล้ว ความคิดอันชาญฉลาดของชาวกรีกโบราณผู้นี้ก็ยังคงถูกตำหนิจากชาวคริสต์ และนักวิชาการต่าง ๆ คงจะตั้งข้อสงสัยขึ้น เรื่องดังกล่าวนี้มิได้พิสูจน์ให้เห็นหรอกหรือว่า นักปรัชญาแห่งกรีกโบราณนั้นอยู่ใกล้ชิดกับความเป็นจริงมากกว่าชาวยุโรปตะวันตกมานาน ด้วยวิถีทางบาอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้
Democritus
เดโมคริทุส (460 - 361 ปีก่อนคริสตกาล) ได้อธิบายไว้อย่างแม่นยำถึงทางช้างเผือกว่า เป็นกลุ่มดาวจำนวนมหาศาลที่อยู่รวมกันในอวกาศไกลโพ้น ในขณะที่วิทยาศาสตร์ของเราได้ข้อสรุปนี้เมื่อไม่เกินสองร้อยปีก่อนเท่านั้น ร่องรอยหรือข้ออนุมานทางปรัขญาจากผู้ปกป้องปัญญาแห่งยุคสมัย จะชี้นำความคิดชาวกรีกเหล่านี้ไปสู่อนาคตอันไกลโพ้นเชียวหรือ เดโมคริทุสกล่าวเช่นเดียวกับราชบัณฑิตสาขาวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนี้ว่า ในความเป็นจริงไม่มีสิ่งใดเลย เว้นแต่อะตอมและอวกาศ


ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเอเธนส์ บนถนนสายหลัก มีอีกจุดหนึ่งที่ครั้งหนึ่งเดโมคริทุสเคยทำงาน ตอนนี้มีป้ายบอกไว้อย่างสมฐานะว่า ห้องปฏิบัติการวิจัยนิวเคลียร์เดโมคริทุส
           
เดโมคริทุสถูกสอนมาแต่เยาว์วัย โดยโหราจารย์ที่ทิ้งไว้โดยเซอร์ซีส ในอับเดรา ในต้นศตวรรษที่สาม เซ็กซ์ทุส เอ็มพิริคุสเขียนไว้ว่า เดโมคริทุสเรียนเกี่ยวกับทฤษฎีอะตอมจากเรื่องราวโบราณ โดยเฉพาะจากชาวฟินิเชียน ชื่อ โมสคุส ผู้มีแนวคิดที่ถูกต้องแม่นยำอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องอะตอม ด้วยเขาเห็นว่าอะตอมแบ่งแยกได้ เซเนคากล่าวว่า เดโมคริทุส รู้ว่ายังมีดาวเคราะห์อีกมากมาย เกินกว่าที่เราจะพบเห็นได้ด้วยตา     เดโมคริทุสถือว่าพระอาทิตย์มีขนาดใหญ่มหึมา และรอยบนดวงจันทร์นั้นเกิดจากเงาของภูเขาสูงและหุบเขาลึก เขาถือว่าโลกนั้นเกิดขึ้นมาในสมัยหนึ่งและจะถูกทำลายลงในห้วงอวกาศอันไม่มีที่สิ้นสุด เดโมคริทุสประกาศว่า ดาวฤกษ์ต่าง ๆ ก็คือ ดวงอาทิตย์ ซิพลิเชียส (ศตวรรษที่หก) เสริมว่า ดาวฤกษ์เหล่านี้บ้างก็มีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ของเรา นักปรัชญาบางท่านบ่งชี้ว่ามีระยะทางไกลมหาศาลระหว่างโลกเราและดาวฤกษ์อื่น ๆ

พิธากอรัส (530 ปีก่อนคริสตกาล) อนุมานว่าโลกเป็นทรงกลม และอริสตาร์คุสแห่งซามอส (310 - 230 ปีก่อนคริสตกาล) ยืนยันว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์              
เอราโทสเธเนส (276 - 195 ปีก่อนคริสตกาล) ภัณฑารักษ์ห้องสมุดอะเล็กซานเดรียคำนวณเส้นรอบโลก โดยมีความคลาดเคลื่อนเพียง 225 ไมล์ เท่านั้น อะคิลเลส ทาทิอุสกล่าวว่า คาลเดียนส์ยังได้วัดระยะทางรอบโลกโดยผลลัพธ์ไม่ต่างจากของเอราโทสเธเนสเท่าใดนัก
             
พลูทาร์ชเขียนไว้ในเรื่อง ความเห็นของนักปรัชญา (Opinions of Philosophers) ว่าระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์เป็น 804 ล้านสเตอเดีย ค่านี้เกือบจะเท่ากับค่าที่ดาราศาสตร์สมัยนี้ยอมรับ นักดาราศาสตร์สมัยโบราณมีเครื่องมือวัดอันแม่นยำอย่างนั้นหรือ หากไม่ใช่แล้ว พวกเขาคาดเดาอย่างน่าอัศจรรย์ได้อย่างไร ?
             
เอมเพโดเคลส (494 - 34 ปีก่อนคริสตกาล) เสนอว่าแสงต้องใช้เวลาในการเดินทาง นอกจากนี้ยังมีแนวคิดเรื่องการกลายพันธุ์ด้วย ลูเครทุอุส (96 - 55 ปีก่อนคริสตกาล) รู้ว่าความเร็วของวัตถุที่ตกลงในสุญญากาศมีแบบแผนแน่นอน ในบทกลอน ว่าด้วยธรรมชาติ เขาสร้างภาพการดินรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด เป็นเวลานับศตวรรษ ๆ ก่อนสมัยดาร์วิน พิธากอรัส และเป็นเวลานานก่อนสมัยนิวตันจะได้รู้เกี่ยวกับกฎของแรงดึงดูด          
เศษของแบบจำลอง
ระบบสุริยะ พบที่กรีซ 
อายุ 65 ปีก่อนคริสตกาล
เอมเพโดเคลส (494 - 34 ปีก่อนคริสตกาล) เสนอว่าแสงต้องใช้เวลาในการเดินทาง นอกจากนี้ยังมีแนวคิดเรื่องการกลายพันธุ์ด้วย ลูเครทุอุส (96 - 55 ปีก่อนคริสตกาล) รู้ว่าความเร็วของวัตถุที่ตกลงในสุญญากาศมีแบบแผนแน่นอน ในบทกลอน ว่าด้วยธรรมชาติ เขาสร้างภาพการดินรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด เป็นเวลานับศตวรรษ ๆ ก่อนสมัยดาร์วิน พิธากอรัส และเป็นเวลานานก่อนสมัยนิวตันจะได้รู้เกี่ยวกับกฎของแรงดึงดูด
           
อะนักซิมันเดอร์ (ต้นศตรวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล) เสนอว่าสัตว์ทุกชนิดมีวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน  ตัวอย่างของนักปรัชญาโบราณที่พูดภาษาในศตวรรษเรานั้นหาได้ยาก แต่ก็มีหลักฐานพอจะสรุปได้ว่า ในบางลักษณะ นักคิดในโลกคลาสสิกก็เป็นยักษ์ที่ชาญฉลาด เมื่อเปรียบเทียบกับนักวิชาการในยุคกลาง
             
ประวัติศาสตร์บอกเราว่า อาร์คีมีดีส ได้สร้างหอดูดาวในศตวรรษที่สามก่อนคริสตกาล พิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติของกรีก มีวัตถุน่าสนใจอย่างหนึ่งชาวประมงได้พบจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อ ค.ศ.1900 แต่ยังคงลึกลับต่อมา กระทั่ง ค.ศ.1959 เมื่อด็อกเตอร์ดีเร็ก ไพรซ์ นักวิทยาศานตร์แห่งเคมบริดจ์ บ่งชี้ว่าเป็นเครื่องมือโบราณ เป็นการจำลองการทำงานของระบบสุริยะ นี่เป็นแบบจำลองเชิงกลที่ชัดเจนของโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์อื่น ๆ สำเร็จลงด้วยผีมือช่างที่เราไม่รู้จัก เมื่อสมัย 65 ปีก่อนคริสตกาล อุปกรณ์นี้มีชุดเฟืองที่ละเอียดซับซ้อน หมุนด้วยข้อเหวี่ยงเล็ก ๆ ทำให้วัตถุทั้งหลายในฟากฟ้าอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม แบบจำลองนี้ละเอียดบอบบางจนเกินกว่าจะแตะได้ แต่เฟืองและล้อนั้นเรายังสามารถเข้าใจได้ ด็อกเตอร์ไพรซ์กล่าวเมื่อ ค.ศ.1959 ว่า การพบเครื่องมือเช่นนี้ ก็เหมือนกับการพบเครื่องบินไอพ่นในหลุมพระศพตุตันคาเมนนั้นแหละ
             
ซิเซโรเคยเขียนเกี่ยวกับทรงกลมท้องฟ้าในทำนองเช่นนี้ โดยแสดงไว้ในอารามคุณธรรมในกรุงโรม เขาเน้นถึงจุดกำเนิดจากสมัยโบราณ และธาเลสแห่งไมเลทุสได้รับสิ่งประดิษฐ์นี้เมื่อหกศตวรรษก่อนคริสตกาล
             
เมื่อสองพันปีก่อน นครไซราคูเซ ในซิซิลีมีท้องฟ้าจำลองที่ดวงดาวต่าง ๆ เคลื่อนที่ได้ด้วยพลังไฮดรอลิก นักคิดชาวกรีกจำนวนมากก้าวไกลไปมาก ถึงกับเสนอว่ามีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ เมโทรโดทุส แห่งแลมป์ซาคุส (ศตวรรษที่สามก่อนคริสตกล) กล่าวว่า การเรียกโลกว่าเป็นโลกแห่งเดียวที่มีผู้คนในอวกาศอันไร้ที่สิ้นสุดนั้น ไม่ฉลาดเลย พอ ๆ กับการยืนยันว่ามีข้าวเพียงรวงเดียวเท่านั้นที่งอกงามอยู่ในทุ่งอันกว้างใหญ่
           
หากเราไม่มีความรู้ ก็คงจะแปลกใจกับการเสนอเรื่องเกี่ยวกับชีวิตบนดาวเคราะห์อื่น ในสมัยที่ยังไม่มีกล้องโทรทรรศน์ และความรู้อันปราดเปรื่องทางวิทยาศาสตร์ทั้งปวงในทุกวันนี้ นักปรัชญาเหล่านี้มีความรู้ก้าวหน้าด้วยตนเอง หรือได้รับวิทยาศาสตร์มาจากอารยธรรมอื่นที่หายไป

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ศาสตร์ก่อนยุควิทยาศาสตร์(ตอนที่2)

ศาสตร์ก่อนยุควิทยาศาสตร์(ตอนที่2)
Prior history of modern science 2
ภาพเชิงเทียนแห่งแอนดิส นักวิทยาศาสตร์บาท่าน
คาดว่า เป็นเครื่องมือวัดแผ่นดินไหวสมัยก่อนอินคา
ชาวแอซเต็กมีความรู้เรื่องหลักจราจร และการสำรวจสำมะโนประชากร ส่วนชาวอินคา มีระบบน้ำเสียและการจ่ายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และมีถนนสายหลักที่ดีที่สุดในโลกโบราณ ชาวทอลเท็กมีโครงการสร้างอาคารในระยะสี่ร้อยปีขณะที่ในปัจจุบันนี้ไม่มีชาติใดในโลก ไม่ว่าสังคมนิยมหรือทุนนิยม ที่จะวางแผนใด ๆ ในระยะยาวปานนั้น  คงจะไม่เกินความจริงไปนักที่กล่าวว่า ชาวเปรูโบราณทอผ้าได้ละเอียดอ่อนกว่าเครื่องทอสมัยใหม่เครื่องใดจะทำได้ ...มีการพบเครื่องประดับทองคำขาวบนฝั่งเอกวาดอร์ ข้อเท็จจริงเล็กน้อยนี้ก่อให้เกิดคำถามอันยิ่งใหญ่ขึ้น นั่นคือ ชาวอเมริกันอินเดียนทำอย่างไรจึงได้อุณหภูมิถึง 1,770 องศาเซนเซียส (เพื่อหลอมทองคำขาว) ในเวลาหลายพันปีมาแล้วนั้น ทั้ง ๆ ที่ชาวยุโรปได้รับผลสำเร็จนี้เพียงเมื่อสองร้อยกว่าปีมานี้เอง ...ในเรื่อง เงาแห่งแอตแลนติส (The Shadow of Atlantis) บรักไฮน์ ได้บรรยายถึงวัตถุประหลาดที่พบในเอสมิรัลดา บนฝั่งทางเหนือของเอกวาดอร์ในบรรดาของอื่น ๆ มากมาย

ในบรรดาสมบัติสะสมของเอร์เนสโต ฟรังโค มีกระจกหินออบซีเดียนสีเขียวเข้ม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว รูปร่างเป็นเลนส์นูน เหมาะมากที่จะให้ส่องใบหน้าคนที่มีผมน้อยมาก แต่งานเรื่องแสงนี้ต้องการความเชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีอันก้าวหน้า แล้วกระจกนี้สร้างจากที่ใด ?
ในเทือกเขาแอนดิส ทางใต้ของเมืองลิมา ประเทศเปรู ในอ่าวปิสโก เมื่อผู้บุกรุกในศตวรรษที่สิบหกพบ เครื่องหมายอันน่าอัศจรรย์ รูปกางเขนสามอัน ซึ่งดูคล้ายสามง่ามต่อก้านของเทพเนปจูนมาก ภาพดังกล่าวสลักบนหินสูง 810 ฟุต และเห็นได้จากระยะไกล 12.5 ไมล์      
ควิปู เครื่องมือบันทึกของชาวอินคา
จุดหมายและความหมายของโคมไฟแห่งแอนดิสนี้ ยังคงคลุมเครืออยู่ กระทั่ง เบลตรัน การ์เซีย นักวิทยาศาสตร์ชาวสเปนได้เสนอทฤษฎีขึ้นมา เขาเชื่อว่าสามง่ามดังกล่าวนั้น มีใช้ในหมู่ชาวอินคา หรือชนรุ่นหลัง เป็นเครื่องมือวัดขนาดยักษ์ เพื่อวัดแผ่นดินไหว ไม่ใช่แค่ในเปรูเท่านั้น หากยังวัดแผ่นดินไหวทั่วโลกด้วย ข้ออธิบายนี้จะใกล้เคียงความจริงมากกว่าข้อสันนิษฐานของผู้ปกครองชาวสเปน ที่คิดว่าเป็นไม้กางเขนสามอัน ที่พระผู้เป็นเจ้าสลักไว้เพื่อขอบใจชาวคริสต์ที่พิชิตอเมริกาได้

 แม้จะมีรูปแบบอารยธรรมที่สูง แต่ชาวอินคาก็กลับไม่มีการเขียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ เพราะการเขียนและวรรณกรรมนั้นเป็นเครื่องหมายของความงอกเงยทางวัฒธรรม แทนที่พวกเขาจะมีตัวอักษรก็กลับมีควิปู ซึ่งเป็นระบบที่ซับซ้อน เป็นอุปกรณ์ที่มีสายและมีสีสันต่าง ๆ และผูกเป็นเงื่อน ช่วยเลียนเสียง และเป็นอุปกรณ์บันทึก ระบบที่น่าแปลกของผู้คนสมัยก่อนอินคานี้ มีใช้ในการคำนวณ สถิติ และวรรณกรรม สายและเงื่อนนั้นทำให้ผู้เล่าเรื่องนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นต่อมาได้ เครื่องเลียนเสียงนี้ อาจมองได้ว่าเป็นการสะท้อนจากเทคโนโลยีทีสูญไป ซึ่งอาจเป็นการใช้คอมพิวเตอร์อิเล็คทรอนิกส์ หลังจากศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์นี้หายไป ผู้เหลือรอดจากน้ำท่วมแอตแลนติสในอเมริกาใต้ก็นำวิธีการง่าย ๆ ของการบันทึกโดยใช้ควิปู อันเป็นเพียงการจำลองแบบเครื่องคำนวณ และเครื่องบันทึกในกาลก่อนของตน

 ปริศนาทางวิทยาศาสตร์เช่นควิปูนั้น ไม่ได้ตรึงอยู่กับทวีปหรือชาติใดชาติหนึ่งเท่านั้น คราวนี้ขอเราข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปสำรวจยังประเทศจีน

นักประวัติศาสตร์ชาวจีนนั้น ไม่เคยเลยที่จะพยายามเอาใจผู้ปกครองด้วยการกล่าวเกินจริง หากแต่ชอบจะแก้ไขบันทึกทางประวัติศาสตร์ ดังที่เกิดขึ้นกับนักเขียนประวัติศาสตร์แห่งชี เมื่อ 547 ปี ก่อนคริสตกาล นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า เหตุใดพงศาวดารของจีนจึงเป็นไปอย่างละเอียดจริงจังนัก แม้จะพรรณนาเรื่องที่ดูเหมือนเกินจริงมากก็ตาม
ควิปู ที่มีอายุเก่าแก่
ชาวจีนโบราณมีเครื่องฉายรังสีเอกซ์หรือ ? คำถามนี้ดูเหมือนจะโง่เง่าที่สุด แต่จักรพรรดิจิ๋นซี (259 - 210 ปี ก่อนคริสตกาล) มีกระจกเงา ที่ส่องทะลุกระดูกในร่างกายได้ กระจกเงาดังกล่าวอยู่ในพระราชวังเฮี่ยนหยาง ในเมืองส่านซี เมื่อ 206 ปีก่อนคริสตกาล และมีการเขียนตั้งแต่สมัยนั้นว่า เป็นกระจกสี่เหลี่ยมกว้าง 4 ฟุต สูง 5 ฟุต 9 นิ้ว แวววาวสดใสทั้งด้านนอกและด้านใน เมื่อคนยืนข้างหน้าจะเห็นภาพสะท้อน ภาพนั้นจะกลับซ้ายขวา เมื่อคนนั้นวางมือบนหัวใจ เขาจะเห็นอวัยวะภายในห้าชิ้น และไม่มีอะไรขวางอยู่เลย เมื่อใครมีโรคภัยอยู่ภายในอวัยวะ เขาจะรู้ได้ด้วยการมองเข้าไปในกระจก และวางมือลงบนหัวใจ

ประมาณ 250 ปีก่อนสมัยจักพรรดิ์จิ๋นซี แพทย์อินเดียผู้สามารถท่านหนึ่งชื่อ ชีวะกะ มีแก้ววิเศษ ซึ่งมีอำนาจให้รังสีเรินต์แกน (เอกซ์เรย์) ผ่านเข้าไปในร่างกายมนุษย์ บันทึกทางประวัติศาสตร์กล่าวว่า เมื่อวางไว้เบื้องหน้าคนไข้ จะทำให้ร่างกายสว่างเหมือนกับตะเกียงที่ส่องสว่างไปทั่วทั้งบ้าน จักรพรรดิ์จิ๋นซี และหมอชีวะกะนั้น ได้ความรู้นี้มาจากที่ใด ในเมื่ออีก 2,200 ถึง 2,500 ปีต่อมา จึงมีเครื่องมือดังกล่าวใช้กันทั่วไป
           
 ใน สักตยครันธัม ซึ่งอยู่ในพระเวทของอินเดีย มีเรื่องการทำวัคซีนและบรรยายถึงผลของวัคซีนนั้น คำถามก็คือ พราหมณ์ได้ค้นพบเรื่องราวในทางชีววิทยานี้ในเวลา 4,000 ปีก่อนสมัยของเจนเนอร์ได้อย่างไร ?
           
นับเป็นเรื่องแปลก ที่อ่านพบเรื่องรังสีเอกซเรย์ในสมัยพุทธกาล และวัคซีนเมื่อ 2,000 ปีก่อนสมัยพระเยซูคริสต์ และยิ่งแปลกมากขึ้นเมื่อพบข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ที่น่าตื่นเต้น ในคัมภีร์ของบาบิโลนโบราณ
เซอร์ออสเตน เฮนรี ลายาร์ด 
(ค.ศ.1817 - 1894)นักโบราณคดีผู้ขุดค้น
อารยธรรมโบราณแห่งเมโสโปเตเมีย
ชาวบาบิโลนทราบเรื่อง แตรของวีสัส (พระศุกร์) พวกเขาเขียนถึงส่วนเสี้ยวของดาวเคราะห์นี้ เนื่องจากดาวศุกร์อยู่ใกล้พระอาทิตย์มากกว่าโลก จึงแสดงส่วนเสี้ยวคล้ายกับพระจันทร์ แต่ แตรของวีนัส นี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คำถามที่น่าสนใจก็คือ นักบวชบาบิโลนโบราณเฝ้าดูเสี้ยวดาวพระศุกร์ได้อย่างไรโดยไม่ใช้กล้องโทรทรรศน์ นอกจากนี้พวกเขายังรู้จักพระจันทร์ขนาดใหญ่ของดาวพฤหัสบดี (จูปีเตอร์) นั่นคือดวงจันทร์ไอโอ ยูโรปา แกนีมีด และคาลลิสโต ขณะที่เมื่อกาลิเลโอประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ มนุษยชาติก็ยังไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับวัตถุเหล่านี้ หรือจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือ ชาวบาบิโลนไม่ควรจะมีความรู้เหล่านี้

มีข้ออธิบายสองประการถึงการสังเกตทางดาราศาสตร์เหล่านี้ อันเกี่ยวกับเสี้ยวดาวพระศุกร์และดวงจันทร์ใหญ่สี่ดวงของดาวพฤหัสบดีที่เห็นในสมัยโบราณ ทฤษฎีแรกคือ นักบวชชาวบาบิโลนมีกล้องโทรทรรศน์ ทฤษฎีนี้ออกจะข้าง ๆ คู ๆ อย่างไรก็ตาม ในบริติชมิวเซียมก็มีผลึกหินที่น่าสนใจรูปไข่ และพื้นผิวรูปนูนด้านหนึ่ง เรียบด้านหนึ่ง เซอร์เอ. เฮนรี ลายาร์ด เป็นผู้ค้นพบผลึกหินนี้ ในช่วงการขุดค้นพระราชวังซาร์กอนที่นิเนเวห์ ท่านเซอร์เดวิด บริวสเตอร์เสนอว่า จานผลึกนี้เป็นเลนส์ แต่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่คัดค้านทฤษฎีนี้...สมมติฐานที่สองก็คือ ในหลายชั่วอายุคน นักบวชแห่งคาลเดียและซูเมอร์ได้เก็บรักษาองค์ประกอบทางดาราศาสตร์สมัยก่อนน้ำท่วมไว้ เราคงต้องมีความคิดอยู่ในใจว่า นักพรตแห่งบาบิโลนมิได้เป็นเพียงนักบวชเท่านั้น หากแต่เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วย ดาราศาสตร์ของพวกบาบิโลนนั้นมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับศาสนา และใช้เป็นการพิจารณาเลือกให้เป็นนักบวช
ชาวอียิปต์โบราณมีอักษรพิเศษบอกจำนวนล้าน กระทั่งสมัยของเดการ์ตและไลบ์นิตซ์ในศตวรรษที่สิบเจ็ด โลกสมัยใหม่เพิ่งจะรับแนวคิดจำนวนล้านในคณิตศาสตร์ ส่วนนักคณิตศาสตร์ชาวบาบิโลนโบราณใช้ตัวเลขจำนวนมาก ๆ โดยใช้ตารางคำนวณ เมื่อนับพัน ๆ ปีก่อนนี้ ในห้องสมุดของบาบิโลนจะมีแผ่นตำราที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จากยุคอดีต หากการคะเนนี้ถูกต้องแล้ว ก็เป็นอันชัดเวจนว่า เหตุใดพวกเขาทราบเรื่องเสี้ยวดาวพระศุกร์และพระจันทร์ของดาวพฤหัสบดี 
หอสังเกตดวงดาวในเม็กซิโก
ชาวแอซเต็กรู้เรื่องเกี่ยวกับทรงกลมของดาวเคราะห์ และเล่นลูกบอลเลียนการเหวี่ยงดาวไปทั่วฟ้าของพระเจ้า โดกอน ในแอฟริกา ผู้มีระบบการเมืองโดยพระเจ้า และมีธรรมเนียมโบราณ พวกเขารู้จักดาวคู่ของดาวซิริอุส ที่อยู่ไกลออกไปจากโลกเกือบเก้าปีแสง และเห็นได้จากกล้องโทรทรรศน์เท่านั้น นอกจากนี้ชาวเมดิเตอร์เรเนียนยังรู้จักกลุ่มดาวเพลียดเดสมากเกินกว่าเจ็ดดวงที่เห็นด้วยตาเปล่า ความทรงจำของคนเหล่านี้ ได้จากศาสตร์ที่สาบสูญไป ใช่หรือไม่ ?
             
ในการศึกษาดาราศาสตร์ในสมัยแรก ๆ ความแม่นยำในการคำนวณการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ของคนโบราณนั้น เป็นที่น่าสงสัยแก่นักดาราศาสตร์อยู่เสมอ เพราะสมัยนั้นไม่อาจคำนวณด้วยเครื่องได้
           
หนังสือฮวยหนานซือ (120 ปีก่อนคริสตกาล) และลุนเหิงของหว่างจุง (ค.ศ.82) กล่าวถึงการกำเนิดจักรวาลศูนย์กลาง โลกที่แข็งตัวได้หลุดออกมาจากระลอกคลื่นหมุนวนนั้น เป็นสสารอย่างแรก งานเขียนของชาวจีนโบราณเหล่านี้ให้แนวคิดแก่คนสมัยใหม่ถึงการก่อกำเนิดของกาแลกซี            
เราจึงเผชิญหน้ากับทางเลือกสองประการ นั่นคือการยอมรับว่ามีเครื่องมือทางดาราศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ในโลกโบราณ หรือตั้งสมมติฐานว่านักบวชแห่งบาบิโลน อียิปต์ หรืออินเดีย ต่างเป็นผู้พิทักษ์ศาสตร์ก่อนสมัยประวัติศาสตร์ที่มีความเก่าแก่อย่างน้อยหมื่นปี....

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ศาสตร์ก่อนยุควิทยาศาสตร์(ตอนที่1)

ศาสตร์ก่อนยุควิทยาศาสตร์(ตอนที่1)
Prior history of modern science 1
ลวดลายบนผ้าโบราณที่วิจิตรบรรจง จากเปรู มีอายุราว ค.ศ.200   
 ภาพเขียนหินใน กันชาล เด มาโฮมา และ อาบรี เด ลาส วินาส ประเทศสเปน แสดงถึงร่องรอยลึกลับ งานประดิษฐ์จากงาช้างแมมมอธจากกอนต์ซีในยูเครน มีอายุถึงยุคน้ำแข็ง กลับมีร่องรอยประหลาดปรากฏอยู่ ภาพสลักหรือภาพวาดนับพันเหล่านี้ กระจัดกระจายไปทั่วยุโรป และทำให้นักโบราณคดีและนักมานุษยวิทยาต้องสับสนงุนงงเป็นเวลานาน
             
อะเล็กซานเดอร์ มาร์ชาคเขียนไว้ในบทความหนึ่ง ในนิตยสาร Science ว่าเครื่องหมายที่น่าฉงนนี้เป็นเครื่องหมายแทนการสังเกตดวงจันทร์ที่ถูกต้องแม่นยำ เมื่อสมัยนับพัน ๆ ปีก่อนสมัยประวัติศาสตร์ ข้อมูลต่าง ๆ ได้กระตุ้นเตือนให้อะเล็กซานเดอร์ มาร์ชาค พยายามจะประเมินค่าใหม่ของการมองสมัยก่อนประวัติศาสตร์ คำถามได้บังเกิดขึ้นจากหลักฐานเครื่องหมายพระจันทร์นี้ ซึ่งมีอยู่ในยุคหินเก่าช่วงต้น ต่างมีความสำคัญและมีอยู่จำนวนมาก เครื่องหมายดังกล่าวทำให้ต้องประเมินค่าใหม่ของกำเนิดวัฒนธรรมมนุษย์ อันรวมถึงกำเนิดศิลปะ สัญลักษณ์ ศาสนา พิธีกรรม และดาราศาสตร์ และทักษะอันเชี่ยวชาญที่มีอยู่ในช่วงต้นของยุคเกษตรกรรม
ดินเหนียวจารึกของบาบิโลน
เครื่องหมายและเหตุการณ์จากเครื่องหมายเหล่านี้ มีอายุย้อนไปถึงยุคหินเก่าช่วงต้น ย้อนเลยไปจากวัฒนธรรมอะซิเลียนยุคหินกลาง ไปถึงมักดาเลเนียน และออริกนาเซียน ดังนั้นมาร์ชาคจึงสรุปไว้อย่างถูกต้องว่า หลักฐานที่มีรวมกันของความรู้เรื่องพระจันทร์ หรือพระจันทร์กับพระอาทิตย์ในอารยธรรมเกษตรกรรมช่วงต้น ที่ได้กระจายข้ามดินแดนอันยิ่งใหญ่แห่งยูเรเซีย แตกแขนงไปสู่แอฟริกา และกระจายสู่ผู้คนเผ่าต่าง ๆ ที่พูดภาษาต่าง ๆ กัน ได้ก่อให้เกิดคำถามว่า มีแบบแผนและทักษะทางดาราศาสตร์พื้นฐานในสมัยเก่าก่อนเชียวหรือ
หนังสือ โพโพล วูห์ แห่งกัวเตมาลา ประกอบด้วยบันทึกความสำเร็จของมนุษย์ในยุกเริ่มแรก และกล่าวว่า พวกเขาเฝ้าสนใจการเปลี่ยนส่วนโค้งของท้องฟ้า และพื้นผิวกลมของโลก พวกเขามีความรู้เชี่ยวชาญยิ่งนัก คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวยังเสริมอีกว่า เห็นวัตถุน้อยใหญ่ในท้องฟ้าและบนโลก
             
นับเป็นเรื่องแปลกแต่จริง ที่การตำต่ำของอารยธรรมความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้น บางครั้งก็อยู่เหนือระดับปัญญาแห่งยุคสมัย เรื่องเหล่านี้เราพิจารณาได้จากมรดกจากโลกโบราณก่อนน้ำท่วม ร่องรอยของวัฒนธรรมผู้เชี่ยวชาญนี้ยังคงเมีอยู่หลังภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ นี่คือเหตุผลที่มีการศึกษาแหล่งโบราณต่าง ๆ ในบทนี้ ยิ่งเราก้าวลึกลงไปในอดีตเพียงใด เราก็จะยิ่งใกล้กับอารยธรรมที่สูญไปมากเท่านั้น

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (1879 -1955)              
ศาสตราจารย์เฟรเดริก โซดดีเขียนไว้เมื่อ ค.ศ.1909 ว่า พลังงานปรมาณูนั้นเป็นพลังเคลื่อนเบื้องหลังเทคโนโลยีสมัยก่อนน้ำท่วมโลก เขากล่าวว่า เผ่าพงศ์ที่จะเปลี่ยนสภาพสสาร จะมีความต้องการรับอาหารเล็กน้อย เท่ากับเหงื่อบนคิ้วเท่านั้น เผ่าพงศ์ดังกล่าวจะแปลงสภาพทวีปอันแห้งแล้งเปลี่ยนขั้วโลกน้ำแข็ง และสร้างโลกทั้งปวงเป็นสวนแห่งอีเดนอันรื่นรมย์
             
ในมอสโก ผู้เขียนได้ยินเรื่องชีวประวัติของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ว่า ผู้คิดทฤษฎีสัมพัทธภาพ ท่านนี้ได้เสนอความคิดในทำนองเดียวกันนี้ว่า อำนาจนิวเคลียร์เป็นเพียงการค้นพบใหม่เท่านั้น กล่าวกันว่าบรรณาธิการที่ตรวจต้นฉบับตัดสินใจตัดข้อความดังกล่าวไม่ลงพิมพ์ บทความนี้ ไอน์สไตน์ เขียนไว้ก่อนถึงแก่กรรมไม่นานนัก
             
ศาสตราจารย์เฟเดริก โซดดี เห็นภัยพิบัติในอดีต เมื่อมนุษยชาติตัดสินฐานะของธรรมชาติและของมนุษย์ผิดไป หลังจากความผิดพลาดนี้ โลกทั้งโลกก็จมเข้าสู่สภาพดังเดิม จากนั้นมนุษยชาติก็เริ่มตรากตรำเดินทางไปข้างหน้าผ่านยุคสมัยต่าง ๆ ตำนานการตกต่ำลงของมนุษย์อาจจะเป็นเรื่องของภัยพิบัติในอดีตดังกล่าวนั้นจริง ๆ ศาสตราจารย์โซดดีผู้ได้รับรางวัลโนเบลแถลง
             
ยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่อาจอธิบายได้ ระหว่างกำเนิดของวัฒนธรรมในสมัยเก่าก่อนไกลโพ้น เราไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจนด้วยการยืมผู้คนมาจากที่อื่น เพราะระยะห่างทางภูมิศาสตร์อันกว้างใหญ่ไพศาลเป็นตัวกีดขวางอยู่
             
โลกที่เร้นลับจะต้องอยู่นอกเหนือจากพรมแดนทางประวัติศาสตร์ โลกนั้นจะต้องให้พลังขับดันอย่างแรกแก่อารยธรรมทั้งปวงในสมัยต่อมา ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าชาวโรมัน กรีก บาบิโลน และอียิปต์โบราณต่างเป็นครูของโลกสมัยใหม่ แต่ผู้เป็นครูของครูของชาวอียิปต์ บาบิโลน กรีก นั้นเป็นใคร ตอบตามตำนานก็คือ ชาวแอตแลนติส เหล่านี้คือ การสะท้อนและข้อสรุปของ วาเลรี บริวซอฟ ชาวรัสเซียผู้บุกเบิกเรื่องแอตแลนติส
         
ขณะที่เป็นที่รู้จักกันดีว่า ความก้าวหน้าของมนุษย์นั้นเป็นกระบวนการวิวัฒนาการ สัดส่วนความสำเร็จของเรานั้นในขั้นต้นนั้นสืบทอดไปยังคนรุ่นหลังที่เหลือรอดจากยุคน้ำท่วม ไม่ใช่ว่าการบรรลุผลสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดจะเป็นมรดกจากแอตแลนติส การเติบโตของมนุษย์จากยุคน้ำแข็งก่อนน้ำท่วมที่ยังไม่มีวัฒนธรรม จนถึงวัฒนธรรมอียิปต์และซูเมอร์นั้น เป็นผลลัพธ์จากองค์ประกอบทางสังคมโดยธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ขณะที่การค้นพบบางอย่างของมนุษย์ในสมัยต้น ๆ เป็นเครื่องหมายบอกถึงความก้าวหน้า แต่การค้นพบบางอย่างก็เป็นเพียงการค้นพบซ้ำ ที่กระตุ้นจากยุคทองและสิ่งน่าอัศจรรย์ในยุคนั้นเท่านั้น
           
นับเป็นเรื่องยากที่จะลากเส้นแบ่งเขตระหว่างผลผลิตจากความฉลาดของมนุษย์ และมรดกจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยังมีข้อเท็จจริงที่ว่า การบรรลุผลทางวิทยาศาสตร์บางประการของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ไม่อาจจะถือเป็นการสร้างสรรค์ของจิตใจมนุษย์ เพราะสภาพเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและสังคมยังไม่สุกงอมพอ ความก้าวหน้าที่ยังไม่สุกงอมพอนี้ได้แก่รังสีเอกซ์ ยานอวกาศโบราณ และการค้นพบทางดาราศาสตร์โดยไม่ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์
           
เมื่อพวกคอร์เตสบุกรุกเม็กซิโกใน ค.ศ. 1520 ปฏิทินของเขาช้ากว่าของแอซแต็ก และเวลาทางดาราศาสตร์จริงไปสิบวัน พูดในเชิงประวัติศาสตร์ก็คือ ดาราศาสตร์ของโลกเก่านั้นอยู่เบื้องหลังดาราศาสตร์ของโลกใหม่นั่นเอง  ไม่น่าเชื่อเลยที่จะกล่าวไว้ในศตวรรษที่ยี่สิบนี้ว่า ปฏิทินของมายานั้นมีความถูกต้องแม่นยำกว่าของเรา เพราะให้ค่าประมาณที่ใกล้เคียงกับปีสมบูรณ์อย่างมาก ดังแสดงให้เห็นต่อไปนี้

   การคำนวนตามเวลาจริง   365.242198   วันในหนึ่งปี
   ปฏิทินของมายา               365.242129   วันในหนึ่งปี
   ปฏิทินของกรีกอเรียน    365.242500   วันในหนึ่งปี (ปฏิทินของเรา)
ปฎิทินมายา
ที่มากกว่านั้นก็คือ ในพงศาวดารอันละเอียดลออของของชาวมายา จะมีวันซ้ำเดิมก็เมื่อเวลาผ่านครอบหนึ่งรอบ คือ 256 ปี เท่านั้น ไม่ต้องบอกเลยว่าปฏิทินของมายานั้นเป็นเลิศกว่าที่เราใช้ทุกวันนี้มากนัก
             
อีเกอร์ตัน ไซกิส กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญก็คือการรับรู้ความจริงว่า ชาวมายาได้ก้าวไปสู่แผ่นดินใหญ่ โดยมีความสมบูรณ์ในควมมรู้ทางการเขียน คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ สถาปัตยกรรม การแพทย์ และระบบปฏิทินที่มีความแม่นยำยิ่งกว่าที่ใช้ในยุโรปกระทั่งศตวรรษที่สิบแปด ข้อสมมติฐานทั่วไปที่ว่า ชาวมายามีความรู้ก้าวหน้าไปราวร้อยปี ขณะที่โลกตะวันตกใช้เวลาสองร้อยปีหรือมากกว่านั้น สำหรับข้าพเจ้าแล้วถือว่าไม่เกี่ยวกัน ไม่ว่าเรื่องการสืบต่อทางประวัติศาสตร์หรือกับสามัญสำนึกก็ตาม
คอตตี้ เอ. เบอร์แลนด์ ผู้เคยทำงานที่บริติชมิวเซียม ได้รายงานแก่สภานินิบัญญัติแห่งชาติของอเมริกา ที่จัดในกรุงปารีส เมื่อ ค.ศ.1956 ว่า จารึกหลัก 1 เอล คาสติลโลนั้น ซานตา ลูเวีย คอตซูมาอวลปา ได้บันทึกภาพจุดโคจรของดาวศุกร์บนจานพระอาทิตย์ ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 416 ความแม่นยำของนักดาราศาสตร์กัวเตมาลาโบรานนั้นน่าตื่นเต้นแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะการพัฒนาศาสตร์อย่างหนึ่งนั้น ต้องใช้เวลานับศตวรรษ ๆ แล้วนักบวชในอเมริกากลางนำหลักวิทยาศาสตร์เหล่านี้มาจากที่ใด ?

ปริศนาลึกลับ..ลูกบาศก์ ทรงกลม และเส้น

ปริศนาลึกลับ..ลูกบาศก์ ทรงกลม และเส้น
(Sphere and cube)           
เสาคุทบ์มินาร์ ในเมืองเดลฮีประเทศอินเดีย
เสาคุทบ์มินาร์ ในเมืองเดลฮีประเทศอินเดียนั้น เป็นปริศนาอย่างหนึ่ง เสาเหล็กนี้สูงประมาณ 26 ฟุต 3 นิ้ว และขนาดหนึ่งคนโอบ น้ำหนักสองตัน มีจารึกที่ฐานเขียนว่า เมื่อข้ายืนอยู่ อาณาจักรฮินดูก็ดำรงอยู่... เหล็กที่นำมาสร้างเสาคุทบ์มินาร์นี้ ไม่ขึ้นสนิม การสร้างเหล็กไร้สนิมนั้น แม้เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ยังต้องใช้เตาเผาไฟฟ้า ความลับของผู้ประดิษฐ์โบราณผู้สร้างโลหะน่าอัศจรรย์นี้ ซึ่งสร้างเสาดังกล่าว เมื่อ 1,500 ปีก่อน ได้หายไปในความมืดของกาลเวลา
             
เมื่อปี ค.ศ.1885 มีการพบลูกบาศก์โลหะในแท่งถ่านหินที่โรงหล่ออิซิดอร์เบราน์ แห่งโวคลาบรูค ประเทศออสเตรีย ถ่านหินดังกล่าวมาจากเหมืองโวล์ฟเซกก์ ใกล้เมืองชวาเนนสตัดต์ บุตรของแฮร์ เบราน์ มอบวัตถุน่าสนใจนี้แกพิพิธภัณฑ์ลินซ์ อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้มีเพียงแบบพิมพ์ที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์เท่านั้น ส่วนต้นแบบนั้นสูญหายไปแล้ว ลูกบาศก์ดังกล่าวมีการบรรยายไว้ในวารสารต่าง ๆ เช่น Nature (ลอนดอน, พฤศจิกายน 1886) L'Astronomie (ปารีส, 1886) และอื่น ๆ ด้านตรงข้ามสองด้านของลูกบาศก์นี้กลมมน เส้นผ่าศูนย์กลางระหว่างผิวกลมนี้เป็น 67 คูณ 47 มิลลิเมตร มีร่องลึกโดยรอบผ่านบริเวณตรงกลาง น้ำหนัก 785 กรัม และส่วนประกอบมีลักษณะคล้ายกับโลหะนิเกิล-คาร์บอน ส่วนซัลเฟอร์นั้นมีน้อยมาก เพราะเป็นไพไรต์ตามธรรมชาติ (โลหะประเภทซัลได์)
อารยธรรมอินเดียสมัยจักรวรรดิโมกุล
เศษโลหะนี้ถูกฝังอยู่ในแท่งถ่านหินในยุคเทอร์เชียรี อายุนับสิบล้านปีมาแล้ว นักวิทยาศาสตร์บางท่านพิจารณาว่าเป็นอุกกาบาตจมในซากหิน แต่บางท่านก็คิดว่าวัตถุนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ เพราะมีรูปทรงเรขาคณิต และมีรอยเว้าแหว่ง แต่จากหลักวิทยาศาสตร์แล้ว เวลานั้นมนุษย์ยังไม่มีอยู่บนดาวดวงนี้ สิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวจึงยังคงไร้คำอธิบาย
อุกกาบาตรูปร่างแปลกที่พบในเมืองเอทัน รัฐโคโลราโด และผู้เชี่ยวชาญทางอุกกาบาตชื่อ เอช. เอช. นินินเจอร์ ได้ศึกษา ก็เป็นเรื่องลี้ลับอีกเรื่องหนึ่งเพราะส่วนประกอบทางเคมีนั้น เป็นทองแดง สังกะสี และตะกั่ว หรือทองเหลือง ซึ่งเป็นโลหะผสมที่สร้างขึ้น ไม่ใช่วัตถุทางธรรมชาติ อุกกาบาตนี้ไม่ใช่ เศษขยะจากอวกาศ เพราะมันหล่อนลงมาตั้งแต่ ค.ศ.1931
             
เมื่อศตวรรษที่สิบหก ชาวสเปนได้พบตะปู โลหะยาวเจ็ดนิ้ว ฝังอยู่ในหินในเหมืองที่เปรู เราอาจจะตั้งสมมติฐานอย่างใกล้เคียงที่สุดว่ามีอายุนับหมื่นปีมาแล้ว ในดินแดนที่เพิ่งจะรู้จักเหล็ก เมื่อไม่นานมานี้ เรื่องนี้จึงเป็นการค้นพบที่น่าตื่นเต้นแปลกใจอย่างแท้จริง และไม่น่าแปลกใจเลยที่ตะปูแปลกประหลาดนี้จะปรากฏในห้องทำงานของฟรานซิสโก เด โตเลโด ผู้ว่าการแห่งเปรูด้วยความภาคภูมิใจ      
ภาพขนาดยักษ์ วาดลงในพื้นที่ทะเลทราย
เมืองนาสกา ประเทศเปรู 
บนที่ราบสูงแห้งแล้วใกล้เมืองนาสกาในเปรู ปรากฏภาพขนาดใหญ่และมีเส้นยาวหลายไมล์ เกิดจากก้อนหินทอดเรียงไปบนพื้น จากการสำรวจทางอากาศจึงได้ค้นพบแบบลายดังกล่าว ลายเส้นเราขาคณิตบนพื้นนี้ ยังคงความลี้ลับมานับตั้งแต่มีการค้นพบ ผู้สร้างได้สร้างไว้อย่างไร จึงมีความสมบูรณ์แบบ และไม่อาจจะเห็นได้จากทางภาคพื้น เจ. อัลเดน เมสัน กล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง อารยธรรมโบราณแห่งเปรู (The Ancient Civilization Of Peru) หรือว่าเส้นลากแห่งนาสกานี้ ถูกใช้เป็นสัญญาณชี้ทางสำหรับยานอวกาศสมัยโบราณ ?              
ในบรรดาร่องรอยที่เป็นไปได้ว่าชาวแอตแลนติสได้ทิ้งไว้ อาจจะนับรวมถึงทรงกลมแปลกประหลาดนับพันลูก ซึ่งพบในป่าทึบที่คอสตาริกาทางตะวันตกเฉียงใต้ กัวเตมาลา และเม็กซิโก ลูกหินเหล่านี้ขัดแต่งไว้อย่างดี และมีเส้นผ่าศูนย์กลางต่างกันไป จากไม่กี่นิ้วถึง 8 ฟุต ลูกหินภูเขาไฟเหล่านี้บ้างก็มีน้ำหนักเป็นหลายตัน และมีรูปทรงที่สมบูรณ์แบบ สิ่งที่น่าฉงนก็คือ ไม่ปรากฏเครื่องมือใด ๆ ที่สร้างขึ้นในตำแหน่งนั้นเลย หินที่นำมาสร้างลูกกลม ๆ นี้อยู่ในระยะห่างกันพอประมาณ ผู้ใดได้สร้างก้อนหินลึกลับเหล่านี้ ? พวกเขาอยู่ในยุคใด ? พวกเขานำมาจากแหล่งและวางไว้บนยอดเขาได้อย่างไร ? และเพื่อจุดหมายใด ์ สิ่งเหล่านี้คือปัญหาที่การศึกษาโบราณคดีกำลังพยายามจะหาคำตอบ
             
หินเหล่านี้บางก้อนจัดวางในรูปแบบสามเหลี่ยม เป็นการบ่งชี้ถึงการใช้สัญลักษณ์บางประการในทางศาสนา หรือทางดาราศาสตร์ มีผู้คิดว่าอารยธรรมที่สร้างลูกทรงกลมเหล่านี้จะต้องมีความก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่ง
             
ตุ๊กตาลึกลับจำนวนมากที่พบใกล้กับเวรา ครูซ ในเม็กซิโก ปรากฏเป็นสัตว์คล้ายจระเข้อยู่บนล้อสี่ล้อ นี่เป็นเรื่องแปลก เพราะก่อนสเปนจะบุกรุกชาวอเมริกันอินเดียนไม่เคยใช้ล้อเลย ในอเมริกาไม่เคยมีใครรู้จักเกวียน การวัดอายุล้อของเล่นเหล่านี้ด้วยคาร์บอนน แสดงว่ามีอายุจาก 1,200 ถึง 2,000 ปี มีคำถามว่าเหตุไฉนชาวมายาจึงไม่ใช้ยานล้อเลื่อน หากแต่เด็ก ๆ ของตนกลับเล่นตุ๊กตามีล้อเหล่านี้ ทั้งนี้เหตุที่เด็ก ๆ ในประเทศเราเล่นรถตุ๊กตา ก็เพราะผู้ใหญ่ในบ้านเราใช้รถนั่นเอง
ภาพเขียนบนหินในฮาวาซูไพแคนยอน
ที่นอร์ธอะริโซนา
คงจะมีนักมานุษยวิทยาเพียงไม่กี่ท่าน ที่จะสนุกกับความคิดเรื่องการมีสัตว์ก่อนประวัติศาสตร์อยู่ร่วมกับเผ่ามนุษย์ผู้มีอารยธรรม อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์เดนิส ซัวแรต แห่งฝรั่งเศสจำได้ว่า มีศีรษะของท็อกโซดอนปรากฏในส่วนประดับของปฏิทินของเตียอัวนาโก ท่านมีความเห็นว่า การมีอยู่ร่วมกันของท็อกโซดอนและผู้สร้างอารยธรรมเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ไม่อาจหาข้อโต้แย้งได้เลย
             
เมื่อ ค.ศ.1924 การสำรวจทางโบรารณคดีที่โดเฮนี ได้ค้นพบภาพเขียนบนหินในฮาวาซูไพแคนยอน ที่นอร์ธอะริโซนา ภาพนั้นคล้ายกับภาพไดโนเสาร์พวกไทรันโนซอรัสกำลังยืน อย่างไรก็ตาม เราถือว่าสัตว์ประหลาดนี้สูญพันธุ์ไปแล้วนับล้านปี นับเป็นเวลานานก่อนที่มนุษย์จะอุบัติขึ้น          
ภาพเขียนสมัยก่อนประวัติศาสตร์นี้ ชี้นำว่าศิลปินสมัยแรกเริ่มนั้นมีอายุร่วมสมัยกับไทรันโนซอรัส นับว่ามีเหตุผลที่จะสรุปว่า ช่วงเวลาที่สัตว์ประหลาดเหล่านั้นสูญพันธุ์ จะต้องยืดยาวต่อมาข้างหน้า หรือไม่ก็เวลากำเนิดของมนุษย์บนโลกก็ควรจะย้อนกลับไปข้างหลัง

หินสลักในแม่น้ำบิกแซนดี้ ในโอเรกอน สามารถบ่งบอกได้ว่าเป็นรูปสเตโกซอรัส สัตว์โลกอีกตัวหนึ่งที่คาดว่าสูญพันธุ์ไปก่อนการมาถึงของโฮโมซาเปียนส์

ภาพหินสลักที่พบบริเวณ
ปากแม่น้ำ บิกแซนดี้
หากมีผู้สำรวจพบช้างป่าอเมริกากลางทุกวันนี้ เขาอาจจะสะดุ้งตกใจที่สุดในชีวิต แน่นอนว่าช้างจะต้องมีอยู่ในอดีตที่ไม่นานมานี้ ในบรรดาสิ่งหลงเหลือของวัฒนธรรมโคเคิลในปานามา ก็คือภาพช้างมีงวง หูเหมือนใบไม้ใหญ่และมีแถบยาวบนหลัง งานปั้นชิ้นนี้ไม่เพียงเป็นชิ้นเดียวในพื้นที่ส่วนนี้ของโลกเท่านั้น หากแต่ในโคปัน ประเทศฮอนดูรัส ก็ยังมีภาพสลักคนขี่ช้างบนอนุสาวรีย์ศิลาด้วย อย่างไรก็ตาม นักโบราณคดีบางท่าน ซึ่งความกังขาของท่านนั้น บางครั้งก็มียิ่งใหญ่กว่าสามัญสำนึก โดยบอกว่าเป็นภาพของนกแก้วบนที่ราบสูงมาร์คาฮัวสิ ใกล้กับกรุงลิมาประเทศเปรู มีการค้นพบหินก้อนใหญ่มหึมาสลักภาพช้าง ที่ถือว่าสูญพันธุ์ไปจากแอฟริกาแล้ว 7,000 ปี ภาพของช้างเหล่านี้มีความชัดเจนมาก จนด็อกเตอร์แดเนียล รูโซ ผู้ค้นพบนี้ไม่อาจจะบอกได้ว่าเป็นนกแก้ว ในพื้นหินเขียนภาพที่รูโซนี้ พบภาพอูฐ ม้าและวัว ซึ่งไม่มีสัตว์ชนิดใดมีอยู่ในอเมริกาสมัยโคลัมบัส ลักษณะที่เก่าแก่ที่สุดของการแสดงศิลปะบนหินนี้ ปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น
ข้อสงสัยเรื่องช้างนี้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว เพราะซากหินที่คงอยู่ของมนุษย์สมัยแรก ๆ พร้อมกับกระดูกช้างที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ถูกค้นพบโดย เฮลมุต เดเทอร์รา ที่เมืองเตเปกซ์ปัน ประเทศเม็กซิโก จากการทดสอบด้วยคาร์บอน 14 ทราบว่าสัตว์เหล่านี้มีอาศัยอยู่ประมาณ 9,300 ปี ก่อนคริสตกาล หรือราว 250 ปี หลังจากเรื่องตำนานการจมของแอตแลนติส ศาสตร์ที่อาจยังคงท้าทายก็คือ อายุที่เก่าแก่มากของเครื่องประดับ และรูปปั้นช้างในอเมริกาใต้และอเมริกากลาง
แบบเครื่องถ้วยโคเคิล มีภาพของกิ้งก่าบิน ซึ่งดูคล้ายกันมากกับสัตว์เลื้อยคลานที่สูญพันธุ์ไปแล้ว นับเป็นเรื่องสำคัญมากที่มีภาพเขียนของสัตว์โลกสมัยก่อนประวัติศาสตร์เคียงข้างกับสัตว์ที่เรารู้จัก
สเตโกซอรัส มีความยาวถึง 6 เมตร          
นครที่เก่าแก่ยิ่งสองแห่งถูกค้นพบในตำบลนาสกา ใกล้เมืองปิสโก ประเทศเปรู ในบรรดาสิ่งที่ค้นพบทางโบราณคดีจากอารยธรรมนั้น มีความเก่าแก่กว่าวัฒนธรรมก่อนอินคามากอย่างไม่อาจคะเน นั่นคือ ภาชนะประหลาดที่พบโดยศาสตราจารย์จูเลีย เทลโล เมื่อประมาณ ค.ศ.1920 มีเหยือกวาดภาพตัวลามะที่มีนิ้วห้านิ้ว (Lama เป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องที่มีขนปุย จำพวก Lama พบในอเมริกาใต้) ปัจจุบันสัตว์ดังกล่าวมีเพียงสองนิ้ว แต่ตามขั้นการพัฒนา พบว่าในสมัยแรก ๆ สัตว์เหล่านี้มีห้านิ้ว เช่นเดียวกับวัวควาย และที่มากกว่านั้นก็คือ ลามะห้านิ้วเหล่านี้ไม่ได้เป็นสัตว์ในจินตนาการ เพราะมีโครงกระดูกที่ขุดค้นได้จริงในบริเวณเดียวกัน เราสามารถได้ข้อสรุปที่น่าสนใจจากข้อเท็จจริงนี้ นั่นคือ ผู้คนที่มีวัฒนธรรมได้อาศัยในอเมริกาใต้ในยุคที่ย้อนหลังไปไกล เมื่อสมัยลามะยังมีห้านิ้ว
           
ในพิพิธภัณฑ์อาศรมรัฐ ในเมืองเลนินกราด มีกระดุมทองคำแบบสไคเธียนเม็ดหนึ่ง มีภาพของเสือเขี้ยวดาบที่สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ปลายยุคน้ำแข็ง

             
ที่มัลตา มีรอยลี้ลับอยู่อย่างหนึ่งปรากฏร่องลึกบนแผ่นหิน มีจุดแยกและทางด้านข้างคล้ายทางรถไฟ ร่องลึกนี้ปรากฏเป็นแนวยาวไปบนแผ่นดินอันเป็นบริเวณที่ไม่มีสัตว์ลากเกวียนผ่านไปมาได้ นอกจากนี้ยังไม่มีร่องรอยกีบเท้าสัตว์หรือรอยเท้าระหว่างร่องลึกนี้เลย อีกจุดหนึ่งมีร่องแบบนี้ที่ชายฝั่งและลากไปถึงใต้อีกเป็นระยะไกลพอสมควร วัตถุประหลาดที่ค้นพบทางโบราณคดีนี้มีประโยชน์อย่างไร ยังไม่มีการบ่งชี้ได้ โดยเฉพาะจากความเก่าที่มากถึง 9,000 ปี
           
นิตยสาร The Scientific American (หน้า 7 - 298, มิถุนายน 1851) รายงานว่าในรัฐแมสซาชูเส็ทท์ สหรัฐอเมริกา มีภาชนะรูปทรงระฆัง ทำด้วยโลหะที่ไม่มีใครรู้จัก มีลายดอกไม้ฝังเงิน พบฝังตัวอยู่ในหินใหญ่ .....ปริศนาทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้ สักวันหนึ่งอาจจะทำให้นักปราชญ์ของเราต้องขยายขอบเขตทางประวัติศาสตร์ไปอีกหลายพันปี

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รอยเท้าและภาพที่ระลึก...ลึกลับ

รอยเท้าและภาพที่ระลึก...ลึกลับ
 (Footprints and a souvenir photo...)     
รอยเท้ามนุษย์อายุ 3.6 ล้านปี 
เมื่อ ค.ศ.1959 มีการพบรอยรองเท้าบนหินทรายในทะเลทรายโกบี รอยเท้านี้มีอายุนับล้านปี จากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เราทราบว่าเวลาดังกล่าวนั้น มนุษย์ยังอยู่ในยุคแรกเริ่มเต็มที การสำรวจทางโบราณชีววิทยา (หรือบรรพชีววิทยา) ระหว่างโซเวียต-จีน ที่มีด็อกเตอร์เจ้าหมิงเฉินเป็นหัวหน้า และเป็นผู้ค้นพบ ไม่อาจอธิบายการพบที่น่าแปลกนี้              
ภาพหัวกระโหลกที่ขุดพบบริเวณ
เนินเขาโบรเคนฮิลล์
ในโรดีเซียเหนือ
รอยเท้าบนหินปูนในยุคธรณีที่สามในฟิชเชอร์แคนยอน ในเพอร์ชิงเคาน์ตี้ รัฐเนวาดา ปรากฏเป็นพื้นรองเท้าข้างหนึ่ง มีรอยเย็บเห็นราง ๆ ในเมื่อยุคไดโนเสาร์ไม่มีผู้ทำรองเท้า จึงมีคำถามอยู่ว่า แล้วใครเล่าที่เป็นผู้สร้างรองเท้านั้น มีการอนุมานสองอย่างด้วยกันเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้น นั่นคือมีมนุษย์ปรากฏกบนดาวเคราะห์ดวงนี้เมื่อล้านปีมาแล้ว เก่าแก่กว่าที่วิทยาศาสตร์คะเนไว้ หรือมีผู้มาเยือนจากนอกโลกได้มาเดินบนโลก เมื่อสมัยเก่าก่อน คงไม่มีการสรุปว่าข้ออนุมานอย่างใดถูกต้อง เพราะทั้งสองนั้นเป็นเรื่องเพ้อฝันเท่าเทียมกัน
       
มีการพบกระโหลกอายุ 40,000 ปีของมนุษย์ยุคแรกเริ่ม ที่ถ้ำแห่งหนึ่งที่เนินเขาโบรเคนฮิลล์ ในโรดีเซียเหนือ และปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติ ในกรุงลอนดอน กระโหลกดังกล่าวมีรูกลมเรียบร้อย ไม่มีรอยร้าวที่จะคิดว่าเป็นการบาดเจ็บจากเขาสัตว์หรืออาวุธ นี่เป็นรูที่เรียบและสะอาด อันเกิดได้จากรอยกระสุนปืนเท่านั้น ด้านตรงข้ามของกระโหลกนี้หายไป ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ตรงกับทฤษฎีนี้
ศาสตราจารย์เค. เค. เฟลรอฟ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์โบราณชีววิทยาแห่งราชบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา มีกระโหลกของวัวกระทิงโบราณกระโหลกหนึ่ง อายุเก่าแก่มากจนทำให้กระโหลกของมนุษย์ถ้ำของเรานั้นใหม่ลงไปถนัดใจ กระโหลกนั้นมีอายุบนับแสนปี มีรูกระสุนอย่างเดียวกัน และมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ว่า สัตว์ตัวนั้นมิได้ตายเพราะการบาดเจ็บนี้ ในช่วงที่มีชีวิตรอยบาดเจ็บนี้ได้รับการเยียวยาแล้ว ใครและอาวุธใดที่ยิงวัวกระทิงดังกล่าว ในเมื่อยุคสมัยนั้นเราถือกันว่ามนุษย์ยังเป็นเพียงมนุษย์วานรเท่านั้น
ภาพวาดผนังถ้ำ ในเม็กซิโก
มีการพบกระดูกของนกกระจอกเทศ อูฐ และสุนัขป่าสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในถ้ำโดสซา ในสหภาพโซเวียต โดย ที. จี. กริสไซ และ ไอ. เจ. ยัตสโก เมื่อ ค.ศ.1960 กระดูกเหล่านี้มีอายุประมาณหนึ่งล้านปี ความสนใจของนักวิทยาศาสตร์จึงมุ่งประเด็นไปที่ข้อเท็จจริงที่ว่า กระดูกเหล่านี้ถูกตัดอย่างชำนาญ มีรูเป็นวงกลมอย่างสมบูรณ์ รอยเรียบปกติ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่ากระดูกเหล่านี้ถูกตัดด้วยเครื่องมือโลหะ และจากนั้นก็ขัดมัน จากความเห็นทางวิทยาศาสตร์ที่ยอมรับกันทั่วไป เราถือว่าเมื่อหนึ่งล้านปีที่ผ่านมา ยังไม่มีช่างฝีมือคนใด แล้วน้ำมือของใครเล่าที่มาแกะกระดูกเหล่านี้...หินไฟแปลกประหลาด หรือเครื่องมือหินที่พบในฝรั่งเศส, อังกฤษ, เยอรมนี, รัสเซีย, อียิปต์, พม่า และออสเตรเลีย จากยุคอีโอซีน ถึงยุคหลังธารน้ำแข็ง อาจจะเป็นพวกเดียวกับสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ค้านทฤษฎีกำเนิดสิ่งประดิษฐ์ เราจึงต้องการหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อพิสูจน์ว่า หินเหล่านี้เป็นหินธรรมชาติที่เกิดจากคลื่นทะเลหรือธารน้ำแข็ง
ภาพบนผนังของทาสซิลี
เป็นภาพมนุษย์สวมชุดอวกาศ
รอยเท้าในเอเชียกลางและเนวาดานั้น ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องหมายของเผ่าพันธุ์ลึกลับเท่านั้น ในภาพเขียนบนหินที่แอฟริกาและออสเตรเลียนั้น มีภาพคนเหล่านั้นอยู่ ในบรรดาภาพบนผนังของทาสซิลีที่ศาสตราจารย์เฮนรีล็อตค้นพบในทะเลทรายซาฮารา เป็นเทพเจ้าพระอังคารผู้ยิ่งใหญ่แห่งจับบาเรน เป็นภาพมนุษย์สวมชุดอวกาศ อายุของภาพเขียนบนหินนี้ คาดว่าอยู่ระหว่าง 8,000 ถึง 10,000 ปี แล้วใครเล่าที่เป็นผู้เขียนภาพเหล่านี้ ?            
ภาพคนไม่มีปากในคิมเบอร์ลีย์ ออสเตรเลี
หอภาพปริศนายังคงมีอยู่ในถ้ำในเทือกเขาคิมเบอร์ลีย์ ทางตะวันตกของออสเตรเลีย เทคนิคการสร้างงานและการใช้สีฟ้านั้นไม่เคยมีการใช้มาก่อนในบรรดาคนพื้นเมืองที่นั่น ผู้เขียนแรกเริ่มของภาพเหล่านี้จึงไม่ใช่ชาวออสเตรเลีย ภาพเขียนบนหินที่คิมเบอร์ลีย์ที่ศีรษะมีวงแหวนประดับหรือมีรัศมี แต่ไม่มีปาก และในดินแดนของชาวพื้นเมืองเท้าเปล่า ภาพนี้กลับวาดให้สวมรองเท้า....


ภาพ วันด์จินา เหล่านี้ ถือว่าเป็นตัวแทนมนุษย์พวกแรก และควรจะบันทึกไว้ ณ ที่นี้ ว่าภาพเหล่านี้วาดให้มีนิ้วมือและนิ้วเท้าสามนิ้ว หรือเจ็ดนิ้ว วันด์จินา นั้นมีความสัมพันธ์กับงูสีรุ้ง ที่วาดไว้ในคิมเบอร์ลีย์ งูสีรุ้งนั้นหมายถึงเวลาแห่งความฝัน หรือสมัยก่อนประวัติศาสตร์   มีความสัมพันธ์อย่างชัดเจนระหว่างภาพเขียนบนหินทาสซิลี และภาพที่คิมเบอร์ลีย์ สัตว์โลกที่ไม่มีปากนี้ อาจจะกำลังสวมหมวกอวกาศ มีทฤษฎีจำนวนนับไม่ถ้วนที่พัฒนาขึ้นเพื่ออธิบายตัวตนที่ไร้ปาก แต่ไม่มีทฤษฎีใดที่น่าพอใจ

รายการบล็อกของฉัน