หน้าเว็บ

Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2565

กองทัพอากาศอินเดียยิงวัตถุบิน (ufo)ที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ ตก..ระเบิด


กองทัพอากาศอินเดียยิงวัตถุบิน (ufo)ที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ ตก..ระเบิด

วิดีโอของเหตุการณ์ที่น่าตกใจได้ปรากฏขึ้นทางออนไลน์

เหตุการณ์ลึกลับเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนในเขตบาร์เมอร์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐราชสถานของอินเดีย ใกล้ชายแดนปากีสถาน

อุปกรณ์ที่ไม่ปรากฏชื่อถูกตรวจพบโดยเรดาร์ของกองทัพอินเดีย หลังจากนั้นพวกเขาจึงพยายามติดต่อกับอุปกรณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม วัตถุทรงกลมนี้ไม่ตอบสนองต่อสัญญาณแต่อย่างใด ดังนั้นเครื่องบินขับไล่ Su-30 ของกองทัพอากาศอินเดียจึงถูกส่งไปสกัดกั้น ซึ่งท้ายที่สุดก็ยิง "จานบิน" ตก

“ระหว่างเวลา 10.00 น. ถึง 11.00 น. เรดาร์ของกองทัพอากาศอินเดียตรวจพบวัตถุเรืองแสงที่ไม่ปรากฏชื่อ นักสู้คนหนึ่งได้ส่งสัญญาณเตือน ซึ่งสกัดกั้นวัตถุและยิงตก ซากของวัตถุได้รับการค้นพบและกู้คืนแล้ว และกำลังดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม มันไม่ใช่อุตุนิยมวิทยาหรือการสอบสวนอื่นใด” โฆษกกองทัพกล่าว

พื้นที่ที่ยูเอฟโอตกลงไปนั้นถูกปิดล้อมโดยเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายทันที ตามคำบอกเล่าของตำรวจที่เข้าตรวจค้นพื้นที่ พวกเขาพบโลหะรูปทรงสามเหลี่ยมแปลก ๆ จำนวน 5 ชิ้นในที่เกิดเหตุ

นอกจากนี้ยังมีคำรับรองจากคนในท้องถิ่น ผู้เห็นเหตุการณ์อ้างว่าหลังจากการล่มสลายของยูเอฟโอ

ได้ยินเสียงระเบิดรุนแรง ซึ่งบ้านบางหลังในพื้นที่ถึงกับแตก สื่อตะวันตกได้ขนานนามกรณีนี้ว่า "อินเดียน รอสเวลล์" เมื่อเปรียบเทียบกับการชนของเรือเอเลี่ยนใกล้เมืองรอสเวลล์ในสหรัฐอเมริกาในปี 2490

IAF Fighter Jet Shoots Down Unidentified Object In Rajasthan

A fighter jet of the Indian Air Force (IAF) on Tuesday intercepted and shot down a suspicious “balloon-shaped object” near Barmer in Rajasthan.

 

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565

ชาวเมารี Māori อาจค้นพบทวีปแอนตาร์กติกาก่อนนักสำรวจชาวยุโรปถึง 1,300 ปี

ชาวเมารี Māori อาจค้นพบทวีปแอนตาร์กติกาก่อนนักสำรวจชาวยุโรปถึง 1,300 ปี

ชาวเมารีซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของประเทศนิวซีแลนด์ อาจเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่ค้นพบทวีปแอนตาร์กติกา ดินแดนทางใต้สุดและหนาวเย็นที่สุดของโลก ก่อนที่บรรดานักสำรวจชาวยุโรปจะตามรอยไปถึงในอีก 1,300 ปีต่อมา

ทีมวิจัยด้านประวัติศาสตร์ชีววิทยาและการอนุรักษ์ของนิวซีแลนด์ นำโดย ดร. พริสซิลลา เวฮี จากมหาวิทยาลัยไวกาโต (University of Waikato) นำเสนอผลการศึกษาล่าสุดในวารสารราชสมาคมแห่งนิวซีแลนด์ (JRSNZ) โดยระบุว่าชาวเมารีอาจเป็นผู้ล่องเรือไปถึงน่านน้ำมหาสมุทรใต้ และเป็นผู้มองเห็นแนวชายฝั่งของทวีปแอนตาร์กติกาก่อนใคร ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 แล้ว

หลักฐานที่ชี้ถึงความเป็นไปได้ดังกล่าว มาจากการรวบรวมข้อมูลประวัติศาสตร์แบบมุขปาฐะที่บอกเล่าสืบต่อกันมา รวมทั้งวรรณกรรมที่ไม่มีการตีพิมพ์เผยแพร่ในวงกว้าง (grey literature) ซึ่งที่ผ่านมาแวดวงวิชาการไม่ให้ความสำคัญกับข้อมูลประเภทนี้ เท่ากับประวัติศาสตร์การสำรวจทวีปแอนตาร์กติกาที่บันทึกอย่างเป็นทางการโดยชาวยุโรป ตลอด 200 ปีที่ผ่านมา

ตำนานของบรรพบุรษชาวเมารีบางสำนวนเล่าว่า "ฮุย เต รังงีโอรา" (Hui Te Rangiora) วีรบุรุษชาวโพลีเนเชียนและผู้นำในการสำรวจท้องทะเล ได้ออกเดินทางลงใต้ไปไกลกว่าดินแดนของชาวเมารีมาก จนได้พบกับ "ทะเลแป้ง" ( Te tai-uka-a-pia ) ซึ่งเป็นคำที่พวกเขาใช้พรรณนาถึงผืนน้ำที่เต็มไปด้วยหิมะและแผ่นน้ำแข็งสีขาว ดูคล้ายกับเนื้อของหัวมันท้าวยายม่อม (Arrowroot) ที่ขูดออกมากินได้นั่นเอง

เรือ "วากา" แบบดั้งเดิมของชาวเมารี ขณะร่วมขบวนรับเสด็จเจ้าชายแห่งเวลส์เมื่อปี 2015

ก่อนหน้านี้บันทึกประวัติศาสตร์ของชาวตะวันตกระบุว่า มีการค้นพบทวีปแอนตาร์กติกาครั้งแรกในปี 1820 ซึ่งยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า สมาชิกทีมสำรวจของรัสเซียหรือสหราชอาณาจักรกันแน่ที่เป็นผู้มองเห็นผืนแผ่นดินของแอนตาร์กติกาก่อน
นอกจากหลักฐานที่เป็นตำนานมุขปาฐะแล้ว ทีมผู้วิจัยยังพบรายงานฉบับหนึ่ง

ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Journal of the Polynesian Society เมื่อปี 1899 โดยรายละเอียดของรายงานฉบับนี้ชี้ว่า นักล่องเรือชาวเมารีในอดีตได้บรรยายถึงสิ่งมีชีวิตและสภาพทางภูมิศาสตร์ของแอนตาร์กติกาเอาไว้นานแล้ว

มีการเอ่ยถึงภูเขาหินที่ยอดสูงเสียดฟ้า แต่กลับไม่มีพืชหรือสัตว์หรือสิ่งใดเลยอยู่บนนั้น บ้างก็ว่าพบปีศาจหญิงอาศัยอยู่ในทะเล โดยผมของนางสยายลอยอยู่เหนือคลื่น ซึ่งกรณีนี้ทีมวิจัยคาดว่าน่าจะเป็นการพรรณนาถึงสาหร่ายเคลป์บางชนิดในแถบมหาสมุทรใต้

ดร. เวฮี ผู้นำทีมวิจัยกล่าวสรุปว่า "การมีส่วนร่วมของชาวเมารีในการล่องเรือและสำรวจมหาสมุทรแอนตาร์กติกนั้น มีมานานตั้งแต่ในอดีต และปัจจุบันพวกเขายังคงมีส่วนร่วมในการสำรวจยุคใหม่อย่างแข็งขัน แต่แทบจะไม่มีการยอมรับและยกย่องให้ชาวโลกได้ทราบโดยทั่วกัน"

"การส่งเสริมให้มีนักวิทยาศาสตร์และนักสำรวจชาวเมารีที่ศึกษาทวีปแอนตาร์กติกามากขึ้น จะทำให้เราสามารถรวบรวมเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นและมุมมองของชนพื้นเมืองเข้ามาได้ดียิ่งกว่าเดิม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์และการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมของแอนตาร์กติกาต่อไป" ดร. เวฮีกล่าว

Māori DISCOVERY of ANTARTICA 1,000 Years Before Europeans | Ancient Mariners

Tales of Sea voyages by the Mowry people, of the south island of New Zealand, show that they reached Antarctica as early as the seventh century AD, more than a thousand years before the first European expeditions to the icy continent, once again dismantling my long held Euro centric view of world history and exploration. Crypto Archeology

The findings represent a paradigm shift in the way we think about the World's early history. We are challenging a very deep seated belief in how the World was explored.

The story is more intriguing and more complicated than we ever have imagined.” “There are more alternatives than we think in world history, and we need to have imagination and an open mind when we examine evidence to avoid being stuck in orthodoxy.

A study published in the Journal of the Royal Society of New Zealand pulls together existing historical sources that academic research has often neglected. These include oral narratives, records kept through carving and weaving, and “grey literature”—research conducted outside of traditional publishing channels.

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2565

เหตุผลที่ ‘ภาพนิ่ง’ กลายเป็นภาพเคลื่อนไหว ภาพลวงตา (มองนานๆอาจตาลาย)

นี่คือเหตุผลที่ ‘ภาพนิ่ง’ กลายเป็นภาพเคลื่อนไหว ภาพลวงตา (มองนานๆอาจตาลาย)

เชื่อว่าหลายคนคิดว่าภาพนี้เป็นภาพ GIF เพราะผมเองก็คิดเช่นนั้น เลยถ่ายภาพมันออกมาแล้วมาดูอีกที สรุปคือมันก็ยังเคลื่อนไหวจนตาลาย และนี่คือคำอธิบายเล็กๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้

สิ่งนี้จะเรียกว่าภาพลวงตาทางแสงก็ได้ มันได้บิดเบือนจิตใจของผู้คนแน่นอนว่ารวมถึงสายตาด้วย เนื่องจากวงกลมและที่เส้นเรียบง่ายทำให้ภาพดูเคลื่อนไหว (จริงๆ) สิ่งนี้ต่างจากภาพ 3 มิติ มันไม่ต้องพยายามที่ต้องมองเพื่อหาอะไรบางสิ่งในภาพ

ย้ำอีกครั้งภาพนี้ไม่ใช่วิดีโอหรือภาพ GIF ซึ่งหมายความว่าทุกอย่างควรดูเหมือนภาพนิ่ง ถึงกะนั้น ภาพที่มีสีสันนี้ก็ยังคงดูเหมือนระลอกคลื่นเมื่อภาพลวงที่ตาหลอกตาของเราด้วยสีและลวดลายเฉพาะตัวของมัน “นี่เป็นเพราะรูปแบบวงกลมที่ไร้รอยต่อ”

ภาพลวงตามักจะใช้รูปร่าง พื้นที่ ตำแหน่ง ความต่างของสี และเส้นเพื่อหลอกให้จิตใจของผู้คนคิดว่าภาพกำลังเคลื่อนไหวทั้งที่มันอยู่นิ่ง และเมื่อมองดูภาพลวงตา (ภาพบน) ก็จะเห็นระลอกคลื่นผ่านภาพนั้น

ความหมายของภาพลวงตา

ภาพลวงตา (Optical illusion) หมายถึง ภาพที่หลอกตาให้มองเห็นและรับรู้ผิดพลาดไปจากความเป็นจริง ส่วนใหญ่สายตาจะรับรู้ผิดพลาดเกี่ยวกับรูปทรง ขนาด และสี

ในบางครั้งตาของคนเราก็ไม่ได้เห็นสิ่งที่เป็นอยู่จริงเสมอไป และสามารถถูกหลอกได้ง่าย ตาและสมองของคนเราจะทำงานประสานกันอย่างใกล้ชิดมาก

โดยตาทำหน้าที่รับภาพเข้ามา ส่วนสมองทำหน้าที่ประมวลผลและวิเคราะห์ว่าภาพที่รับเข้ามาเป็นภาพอะไร มีสีอะไร เป็นภาพเคลื่อนไหวหรือภาพนิ่ง เมื่อแสงจากวัตถุกระทบกับเลนส์ตาจะเกิดการหักเหและเกิดเป็นภาพจริงบริเวณจอตา (retina) และจอตาก็จะดูดซับและแปลงภาพให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งต่อไปยังสมอง

this video will make you feel like you're flying..

this video will make you feel like you're flying.. In this video we take a look at some of the best optical illusions and mind tricks. Only a genius can solve these mind tricks and optical illusions and there is also an optical illusion that will make you feel like you're flying and levitating. 

 

ปริศนา ‘ถ้ำเพนเทลี’ ปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้



ปริศนา ‘ถ้ำเพนเทลี’ ปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้
Mount Pentelicus เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ใกล้กรุงเอเธนส์ เป็นที่ตั้งของเหมืองหินโบราณที่ตัดหินอ่อนเพื่อสร้างวิหารพาร์เธนอนและโครงสร้างอันยิ่งใหญ่อื่นๆ ในเมืองเอเธนส์ในยุครุ่งเรือง อย่างไรก็ตามหินอ่อนยังไม่ใช่ทั้งหมดที่มีบนภูเขา ภูเขาแห่งนี้ยังมีความลึกลับมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับถ้ำที่ชื่อ เพนเทลี และนี่คือเรื่องราวที่ยังเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้


ถ้ำเพนเทลี (Penteli cave) หรืออีกชื่อคือ Davelis Cave ตามที่เรียกกันทั่วไป เป็นถ้ำที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าสนโบราณบนเขา Mount Pentelicus ที่ด้านหลังของถ้ำยาว 60 เมตร และสูง 20 เมตร มีอุโมงค์เครือข่ายซึ่งหนึ่งในนั้นนำไปสู่บ่อน้ำใต้ดิน อุโมงค์อื่นตามประเพณีเล่าว่าจะนำไปสู่นรก แม้ว่าถ้ำจะดูไม่ลึกลับนักจากภายนอก แต่ถ้ำแห่งนี้เป็นที่ตั้งของเหตุการณ์แปลกประหลาดมากมาย เช่น การพบเห็นเงาคล้ายผี ยูเอฟโอ และสิ่งเหนือธรรมชาติอื่นๆ

ตั้งแต่สมัยโบราณถ้ำแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ไม่น่าจะมีอยู่บนโลก มันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเทพแพน (เทพปกรณัม) และ นิมฟ์ (Nymph) เป็นที่รู้จักกันในชื่อ Panaipolion มีการพบสิ่งประดิษฐ์ในถ้ำ มีวาดภาพเทพเจ้า พบช่องต่างๆ ถูกตัดเข้าไปในกำแพง และมีซุ้มประตูที่มีแอ่งน้ำที่ไม่ทราบจุดประสงค์
 

หลังจากการมาถึงของศาสนาคริสต์ ถ้ำแห่งนี้ก็ยังคงเป็นสถานที่ความสำคัญทางจิตวิญญาณ และถูกใช้เป็นที่หลบภัยของคริสเตียนหรือนักบวชที่โดดเดี่ยวหรือต้องการอยู่ตามลำพัง

ตามรายงานบางฉบับ โบสถ์ตรงทางเข้าถ้ำสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 มันเป็นสองโบสถ์ที่เชื่อมต่อกัน ภายในโบสถ์หลังหนึ่งมีข้อความที่แปลกตาบางอย่างซึ่ง คาดว่าถูกสลักเอาไว้โดยนักบวชที่เข้ามาอาศัย การออกแบบที่ไม่ธรรมดาของโบสถ์ทำให้เกิดการคาดเดาว่า จริงๆ แล้วโบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในยุคแรก ในประวัติศาสตร์คริสเตียน โดยพวกนอกรีตหรือกลุ่มอื่นของศาสนาคริสต์

จนในช่วงศตวรรษที่ 19 ถ้ำแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงโด่งดัง เนื่องจากลือกันว่าถูกใช้เป็นรังของ Davelis ซึ่งเป็นโจรที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จากการขโมยของคนรวย และชื่อของ Davelis Cave อาจถูกตั้งมาจากคนๆ นี้


เรื่องราวเกี่ยวกับอาถรรพณ์?

ถ้ำแห่งนี้เคยเป็นแหล่งรวมของปรากฏการณ์ประหลาด โดยในศตวรรษที่ 19 ผู้คนอ้างว่าได้ยินเสียงลึกลับมาจากทางเดินของถ้ำ บางคนก็จะได้ยินเพลงที่ไม่มีที่มา ความแปลกประหลาดของถ้ำยังถูกเสริมด้วยสภาพแวดล้อมที่น่ากลัว โดยถ้ำนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาที่โดดเดี่ยวและรายล้อมไปด้วยป่าสนที่ดูน่ากลัว


ในช่วง 1960 – 1970 ผู้สืบสวนเรื่องราวอาถรรพณ์ได้เกิดความสนใจเกี่ยวกับถ้ำแห่งนี้ และเริ่มสำรวจถ้ำ โดยหนึ่งในผู้ตรวจสอบหลักคือชายชื่อจอร์จ บาลานอส พวกเขาได้เริ่มสอบสวน และดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายปีโดยที่ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย

พวกเขารายงานว่าการสืบสวนทั้งหมด ถูกขัดขวางโดยการทำงานผิดปกติของอุปกรณ์เทคโนโลยีที่พวกเขาใช้ เช่น กล้องและไฟฉาย ตลอดจนพฤติกรรมแปลกประหลาดของผู้ตรวจสอบ (เหมือนผีสิง)


เรื่องราวของถ้ำเพนเทลี กลายเป็นเรื่องแปลกมากขึ้นไปอีก เมื่อในปี 1977 กลุ่มคนงานและช่างเทคนิคที่อ้างว่ามาจากองค์กรที่ไม่รู้จัก วางลวดหนามไว้รอบๆ ถ้ำ และเริ่มทำงานในถ้ำด้วยระเบิดและรถตักหิน เมื่อมีคนท้องถิ่นพยายามเข้าไปในถ้ำ พวกเขาก็ถูกทหารยามที่กลุ่มองค์กรที่ไม่รู้จักขัดขวาง

ทฤษฎียอดนิยมเกี่ยวกับตัวตนขององค์กรนี้ อาจเป็น NATO รัฐบาลสหรัฐฯ หรือ กองทัพกรีก หลายคนคาดเดาว่าพวกเขากำลังสร้างบังเกอร์นิวเคลียร์หรือสถานที่จัดเก็บอาวุธนิวเคลียร์ หรือแม้แต่ทฤษฎีเปิดพอร์ทัลเพื่อเดินทางข้ามมิติก็ยังมี

ในปี 1983 องค์กรที่ไม่รู้จักหายตัวไปอย่างลึกลับ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้จากไปอย่างไร้ร่องรอย เพราะทิ้งอุปกรณ์บางส่วนเอาไว้เบื้องหลัง โบสถ์และเครือข่ายถ้ำธรรมชาติก็ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง นอกจากนี้ มีการสร้างทางเดินคอนกรีตขึ้นมาหลายแห่ง แม้ว่าบางส่วนดูเหมือนจะสร้างเสร็จเพียงครึ่งเดียว ไม่ว่าวัตถุประสงค์ขององค์กรนี้จะเป็นอย่างไร จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าพวกเขาบรรลุเป้าหมายแล้วหรือยัง

เคยมีรายงานคู่สามีภรรยาเดินทางผ่านถ้ำแห่งนี้ และมองจากไกลๆ พวกเขาพบรถจอดอยู่ปากถ้ำ ซึ่งบริเวณนั้นไม่มีทางที่นำรถไปจอดได้ คู่สามีภรรยาผ่านถ้ำอีกหลายวัน ก็ยังเห็นรถจอดอยู่ที่เดิม จนพวกเขาตัดสินใจเข้าไปดูใกล้ๆ พวกเขาพบว่ารถที่จอดอยู่ค่อนข้างแปลก มันไม่มีร่องรอยความเสียหายใดๆ รวมถึงร่องรอยล้อรถ


หลังจากที่ภรรยามองเข้าสำรวจในพุ่มไม้รอบๆ รถ เธอก็เริ่มกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง เธอเล่าว่าเธอเห็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างวงรีสีขาว มีความยาวประมาณ 60 ซม. มีดวงตาเรืองแสงขนาดใหญ่สองดวง แต่สามีไม่เห็นสิ่งมีชีวิตนั้น แต่เขาก็เห็นพุ่มไม้ขยับและเกิดเสียงกรอบแกรบ ราวกับว่าสัตว์เพิ่งเคลื่อนผ่านไป

และนี่คือเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับ ถ้ำเพนเทลี (Penteli cave) หรืออีกชื่อคือ Davelis Cave ความจริงปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ อย่างผี หรือ UFO อะไรพวกนี้ แทบจะไม่มีหลักฐาน แต่สิ่งที่หลงเหลือทางกายภาพของถ้ำก็ยังคงมาให้เห็นจนถึงทุกวันนี้

รายการบล็อกของฉัน