หน้าเว็บ

Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2564

ปริศนาแห่งบาสค์

ปริศนาแห่งบาสค์

ชาวบาสค์มีตำนานเรื่องน้ำท่วมใหญ่ โดยเกิดไฟไหม้และน้ำท่วมในคราวสงคราม บรรพบุรุษของชาวบาสค์ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ และรอดชีวิตมาได้            
ชาวบาสค์พูดภาษาที่มีความใกล้เคียงกันกับภาษาถิ่นอเมริกันอินเดียนอย่างยากที่จะอธิบายได้ มิชชันนารีชาวบาสค์ได้เทศนาชาวอินเดียนในเปเตนกัวเตมาลาด้วยภาษาของตน และผู้คนก็เข้าใจ              

ชาวบาสค์เชื่อในเรื่องพญานาคเจ็ดเศียรที่ชื่อเอเรนซูเก ในเรื่องปรัมปราโดยสอดคล้องกับชาวแอซเต็กที่บูชางู แม้ว่าจะอยู่คนละด้านของมหาสมุทรแอตแลนติกก็ตาม การนับตามแบบบาสค์โบราณนั้น นับจำนวนยี่สิบ ไม่ใช่จำนวนสิบ ซึ่งสอดคล้องกับการนับในอเมริกากลาง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชาวฝรั่งเศสได้รับมรดกการนับ Quatre-Vingts (สี่เท่าของ 20 หรือ 80) มาจากชาวบาสค์แน่นอน
           
ในทำนองเดียวกัน ชาวบาสค์ก็เล่นลูกบอลชื่อ ไจ อะไล โดยผูกตะกร้าหวายติดกับแขน ซึ่งคล้ายคลึงกับการเล่นของชาวมายา ที่เรียกว่า โพกอะโทก
             
เมื่อเปรียบเทียบกับชาวยุโรปอื่น ๆ แล้ว ชาวบาสค์มีความเป็นเอกลักษณ์ในเรื่องของกลุ่มเลือดร่วมกัน พวกเขามีความถี่ของกลุ่มเลือด “โอ” สูง และมีความถี่ของกลุ่มเลือด “เอ” ต่ำ และความถี่ของกลุ่มเลือด “บี” ต่ำที่สุด เมื่อพิจารณากลุ่มเลือด “อาร์เอช” ชาวบาสค์แสดงความถี่ของกลุ่มอาร์เอช “ลบ” มากที่สุดในโลก เว้นแต่ชาวเบอเบอร์บางเผ่า ทั้งหมดนี้แสดงว่าชาวบาสค์มีความแตกต่างจากชาวฝรั่งเศสหรือสเปนนั่นเอง

ชาวบาสค์เชื่อในเรื่อง พญานาคเจ็ดเศียรที่ชื่อเอเรนซูเก เชื่อกันว่าชาวบาสค์แห่งไปเรนีสมีความสัมพันธ์กับมนุษย์โครมันยองผู้เคยอาศัยในดินแดนของฝรั่งเศสและสเปน เมื่อปลายยุคน้ำแข็ง พวกเขาไม่เหมือนกับชาวพื้นเมืองของประเทศดังกล่าว ทั้งยังต่างเผ่าพันธุ์กับชาวตะวันออกด้วย ในการเขียนเกี่ยวกับชาวบาสค์ในเรื่อง ประวัติศาสตร์สเปน (History of Spain) ราฟาเอล อัลตามิรา สรุปว่า “พวกเขาอาจจะเป็นผู้รอดชีวิตจากเผ่าสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่อาศัยอยู่ในถ้าไบเรนีส และทิ้งหลักฐานมากมายเกี่ยกับความสามารถทางศิลปะและทักษะเชิงช่าง”

ชาวบาสค์เป็นชาวยุโรปตะวันตกพวกเดียวที่ไม่ล่าสัตว์ และรักษาการเต้นรำของชนเผ่าดั้งเดิมไว้ พวกเขายังคงเชื่อในความอมตะของร่างที่ไม่ได้ฝัง อันเป็นความเชื่อร่วมกันกับชาวอินคาและอียิปต์โบราณ และธรรมเนียมการโพกศีรษะมีอยู่ในหมู่ชาวบาสค์และอินเดียนในอเมริกากลาง
              

มนุษย์โครมันยองมีความสูงหกฟุต มีสมองใหญ่กว่ามนุษย์ปัจจุบันนี้ และน่าแปลกใจที่พบลักษณะเช่นนี้ในมนุษย์ผู้อาศัยอยู่ในถ้ำ หน้าผากที่เรียบและกว้าง และกระดูกแก้มที่โหนกนูน ทำให้พวกเขาคล้ายกับพวกกรันเชสในหมู่เกาะคานารี ซึ่งคาดกันว่าน่าคงจะเป็นอนุชนของชาวแอตแลนติส มนุษย์โครมันยองเป็นศิลปินผู้สามารถ แต่เครื่องมือต่าง ๆ และอาวุธกลับเป็นหิน การไม่มีวัสดุที่เหมาะสมกับที่เคยใช้ในบ้านเดิม พวกเขาจึงใช้หินและตกแต่งใช้ตามรูปแบบที่ได้จากวัฒนธรรมแม่แบบของตน
             
การเขียนภาพบนศิลา
การแกะและสลักของมนุษย์โครมันยองในยุคแมกดาลีน คือเมื่อประมาณ 11,000 ปีก่อน จัดเป็นงานศิลปะชั้นเยี่ยมในประวัติศาสตร์ศิลปะ หากวัฒนธรรมของพวกเขามิได้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษก็คงยากจะได้เห็นมนุษย์เหล่านี้พัฒนาความสามารถทางศิลปะ ซึ่งนับว่าเป็นเลิศเหนือกว่าชาวชูเบอร์ หรืออียิปต์โบราณ ในแง่ของความเหมือนและการให้ความรู้สึก
           
อัสซิเลียน ซึ่งเป็นมนุษย์เผ่าก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศสเปน ถูกฝังหันหน้าไปทางทิศตะวันตกทั้งสิ้น ชนเผ่านี้มีความสามารถเป็นเยี่ยม การจับปลาและการเดินเรือ พวกเขาแล่นเรือมาจากดินแดนทางตะวันตกใช่ไหม?

แอตแลนติส และ วิทยาศาสตร์

โครงกระดูกช้างแมมมอธ แอตแลนติสและวิทยาศาสตร์ 
(Atlantis and science.)        

การคะเนถึงทวีปในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเป็นที่อยู่ของอารยธรรมขั้นสูง ก็อยู่ในขอบเขตของวิทยาศาสตร์เช่นกัน ราชบันฑิต วี.เอ. โอบรุตเชฟ แห่งรัสเซีย มีความเห็นว่า ตำนานเรื่องแอตแลนติสนั้นมิใช่ “เรื่องเป็นไปไม่ได้ หรือยอมรับไม่ได้ จากทรรศนะทางธรณีวิทยา” 

ความจริงแล้วเขากล้าพอที่จะกล่าวในเวลาต่อมาว่า ข้อพิสูจน์เรื่องส่วนทางเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก “อาจจะเผยให้เห็นซากปรักหักพังของอาคาร และซากอื่น ๆ ของวัฒนธรรมโบราณได้”              
ศาสตราจารย์ เอ็น.เลดเนฟ นักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ชาวมอสโก หลังจากทำงานวิจัยมายี่สิบปี ก็ได้ข้อสรุปว่า แอตแลนติสในตำนานนั้นมิใช่เรื่องเล่าปรัมปรา 

เลดเนฟกล่าวว่า เอกสารทางประวัติศาสตร์สมัยโบราณและอนุสรณ์ทางวัฒนธรรมได้แสดงถึงแอตแลนติสว่าเป็น “เกาะขนาดมหึมา กว้างนับร้อย ๆ กิโลเมตร ตั้งอยู่ทางตะวันตกของช่องแคบยิบรอลตาร์” นักวิทยาศาสตร์รัสเซียอีกท่านหนึ่งคือ เอคาเทรินา ฮาเกไมสเตอร์ ได้เขียนไว้เมื่อปี 1955 ว่า เมื่อน้ำในกระแสน้ำอ่นไหลไปถึงมหาสมุทรอาร์กติก 

เมื่อระหว่าง 10,000 ถึง 12,000 ปีก่อน แอตแลนติสจะต้องเป็นแนวกั้นที่เบี่ยงเบนกระแสน้ำไปทางใต้ “แอตแลนติสเป็นสาเหตุของการเกิดยุคน้ำแข็ง แอตแลนติสเป็นสาเหตุของจุดจบนั้น”
             
กรีนแลนด์มีน้ำแข็งส่วนบนสูง 5,000 ฟุต และไม่เคยละลายลงเลย นอร์เวย์อยู่ในละติจูดเดียวกัน กลับมีพืชพันธุ์สมบูรณ์ในหน้าร้อน ทั้งนี้กระแสน้ำอุ่นนั่นเองที่ทำให้ความอบอุ่นแก่ภูมิภาคสแกนดิเนเวีย และส่วนอื่น ๆ ทั่วยุโรป กระแสน้ำอุ่นนี้เรียกให้เหมาะก็คือ แหล่งความร้อนกลางของยุโรป เมื่อเรืออัลบาทรอสส์ของสวีเดนวัดท้องมหาสมุทรแอตแลนติก ณ เส้นอิควอเตอร์ ก็ค้นพบร่องรอยพืชน้ำจืด ที่ระดับความลึกกว่า 2 ไมล์ ศาสตราจารย์ฮานส์ แพตเตอร์สสัน ผู้สำรวจครั้งนี้ คิดว่าในจุดนี้นั้นมีเกาะหนึ่งจมลง
         
ฟอรามินิเฟรา เป็นสัตว์ทะเลขนาดเล็กจิ๋ว มีเปลือกหรือกระดอง มีอยู่ด้วยกันสองชนิด กล่าวคือ โกลบอโรทาเลีย เมนาร์ดิอี และโกลบอโรทาเลีย ทรันคาทูลินอยเดส ชนิดที่สองเป็นลายก้นหอนวนขวา และสามารถอาศัยอยู่ในน้ำเย็นได้ด้วย สัตว์ทะเลทั้งสองชนิดนี้สามารถใช้เป็นตัวบ่งบอกสภาพอากาศว่าร้อนหรือเย็นได้ ชนิดชอบน้ำอุ่นจะไม่ปรากฏที่ใดเหนือแนงตรงจากหมู่เกาะอะโซเรสถึงหมู่เกาะคานารี ส่วนฟอรามินิเฟราน้ำเย็นนั้น มีอยู่ในส่วนตะวันออกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก 

ในเขตแอตแลนติกตอนกลาง สำหรับบริเวณแอฟริกาตะวันตกถึงอเมริกากลาง พวกที่อาศัยอยู่ก็คือพวกชอบน้ำอุ่น หรือโกลบอโรทาเลีย เมนาร์ดิอี แต่ในมหาสมุทรแอตแลนติกบริเวณเส้นอิควอเตอร์ กลับพบชนิดน้ำเย็นอีก ดูราวกับฟอรามินิเฟราชนิดน้ำอุ่นแหวกเขตกั้นมาทางตะวันออก แล้วเขตกั้นนั้นคือแอตแลนติสใช่หรือไม่?              
นักวิทยาศาสตร์ที่กำลังทำงานในหอสังเกตการณ์ทางธรณีวิทยาลามองท์ในสหรัฐอเมริกา ได้ค้นพบครั้งสำคัญเกี่ยวกับหลักการกระจายตัวของฟอรามินิเฟรา นั่นคือผิวน้ำในมหาสมุทรที่อุ่นขึ้นในทันที ได้ปรากฏขึ้นในมหาสมุทรแอตแลนติกเมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อน ที่มากกว่านั้นก็คือ การเปลี่ยนแปลงของฟอรามินิเฟราชนิดน้ำเย็นกลายเป็นพวกน้ำอุ่น ปรากฏต่อเนื่องมาไม่เกินร้อยปี ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ที่จะสรุปว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศอย่างรุนแรง ในมหาสมุทรแอตแลนติกเมื่อประมาณ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล

การสำรวจใต้น้ำ จากสมาคมธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกาเมื่อ ค.ศ.1949 เกี่ยวกับจานหินปูนนับตัน ถูกยกจากท้องมหาสมุทรแอตแลนติกทางใต้ของหมู่เกาะอะโซเรส จานเหล่านี้มีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 6 นิ้ว หนาประมาณ 1.5 นิ้ว ที่ตรงกลางมีรูเจาะไว้อย่างน่าแปลก ที่ขอบนอกนั้นเรียบ แต่รูดังกล่าวเจาะไว้อย่างหยาบ ๆ บิสกิตทะเลเหล่านี้ดูเหมือนมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และไม่อาจเปรียบกับสิ่งใดได้เลย จากหอสังเกตการณ์ทางธรณีวิทยาลามองท์ (มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย) “สภาพของการโค้งงอได้ขอหินปูนนี้ บ่งชี้ว่าอาจจะเกิดขึ้นในสภาพใต้ดิน และภูเขาใต้น้ำนั้นอาจเคยเป็นเกาะในอดีต เมื่อหนึ่งหมื่นสองพันปีก่อน”            

ความพยายามที่จะบืนยันถึงวันเวลาที่เมื่อแอตแลนติสจมลง เราไม่ควรจะมองข้ามอายุของหุบเขาในแองการา (จากปากน้ำไปยังน้ำตกปัจจุบันที่เก่าถึง 12,500 ปี นอกจากนี้ยังมีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่า การยกตัวของเทือกเขาคอร์ดิลเลราขึ้นถึง 19,000 ฟุต เกิดขึ้นเมื่อ 10,0000 ปีก่อน
         
การวัดอายุวัตถุต่าง ๆ ด้วยคาร์บอน ได้ให้ผลที่สำคัญยิ่งบางประการ กล่าวคือ ป่าสนซีดาร์กว้างใหญ่ ที่ครั้งหนึ่งปรากฏอยู่บริเวณเบอร์มิวดาส์อันไพศาล และบัดนี้จมอยู่ใต้น้ำ เมื่อทดสอบด้วยคาร์บอน -14 พบว่าป่านั้นถูกทำลายลงเมื่อประมาณ 11,000 ปีก่อน โคลนจากทะเลสาบคน็อกคาครันในไอร์แลนด์ เป็นร่องรอยของแผ่นน้ำแข็งสมัยสุดท้าย พบว่ามีอายุถึง 11,787 ปี ป่าสปรูสในทุกคริกส์ ที่วิสคอนซิน ก็พินาศไปด้วยธารน้ำแข็งที่เคลื่อนเข้ามาเมื่อประมาณ 11,000 ปีก่อน ป่าเบิร์ชในเยอรมนีตอนเหนือถูกโค่นลงอย่างถอนรากถอนโคน เนื่องจากมวลน้ำแข็งเคลื่อนลงมาเมื่อประมาณ 10,800 ปีมาแล้ว การพิจารณากัมมันตภาพรังสีจากคาร์บอน เพื่อวัดอายุของวัฒนธรรมเจริโค แสดงอายุถึง 6,800 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อพบกะโหลกปั้นปูนขาวอย่างวิจิตรที่เจริโคคล้ายกับชาวอียิปต์ มีอายุ 8,000 ปีมาแล้ว            

👉จากตัวเลขเหล่านี้ เราจะเห็นได้ชัดว่า การเกิดธารน้ำแข็งย่อย ๆ มีขึ้นเมื่อ 11,000 – 12,000 ปีมาแล้ว หลังจากธารน้ำแข็งเคลื่อนลงมาจากขั้วโลกแล้วสภาพอากาศก็อบอุ่นขึ้น เมื่อประมาณ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล ในสมัยที่เรียกกันว่ายุคหินกลาง แผ่นน้ำแข็งนั้นเคลื่อนออก และเปิดทางสู่แผ่นดินใหญ่ให้แก่มนุษย์ สัตว์ และพืชพันธุ์ สรุปสั้น ๆ ก็คือ สภาพอากาศนั้นบ่งชี้ถึงคุณลักษณะในสมัยระหว่าง 10,000 ถึง 8,000 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อยุโรปและอเมริกาเหนือมีความอบอุ่นมากขึ้นพอสมควร ทฤษฎีแอตแลนติสซึ่งประกาศว่าทวีปที่จม จะกั้นขวางเส้นทางของกระแสน้ำอุ่นมิให้ไหลไปทางเหนือ ก็อธิบายการแปลงอากาศนี้ได้
           
ส่วนต่าง ๆ ของเอเชียนั้นต่างไปจากยุโรป เพราะภูมิภาคในเอเชียใต้ประสบการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างเลวร้ายกว่านั้น เมื่อปี 1958 นักโบราณคดีชาวรัสเซีย ชื่อ วี.เอ. รานอฟ พบภาพเขียนบนแผ่นหินในพาเมียร์สที่ระดับความสูง 14,000 ฟุต นับเป็นจุดสูงสุดในโลกที่พบงานศิลปะสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ภาพวาดนี้อยู่ในถ้ำชัคตา เขียนด้วยแร่สีแดง เป็นรูปหมี หมูป่า และนกกระจอกเทศ ในปัจจุบัน สัตว์เหล่านั้ไม่มีชนิดใดรอดชีวิตอยู่ในอุณหภูมิแบบขั้วโลกที่พาเมียร์สนั้นเลย
             
ร่องรอยที่จมน้ำไปสู่การสืบทราบอายุของภาพเขียนนี้ ค้นพบได้ที่มาร์กันซู อันเป็นถิ่นฐานที่ชาวอาณานิคมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้ละทิ้งเถ้าถ่านและงานฝีมือไว้ เถ้าถ่านที่ว่านั้นได้จากการเผากิ่งเบิร์ช และสนซีดาร์ ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่มีอยู่ในภูมิภาคดังกล่าว จากการวัดอายุด้วยคาร์บอน -14 ทราบว่ามีอายุถึง 9,500 ปี อากาศที่หนาวจัดอย่างฉับพลัน อาจจะทำให้เปลือกโลกยกตัวอย่างเร็ว

มีกะโหลกกวางเรนเดียร์ที่พบในอาณาเขตเลคเซวาน ในอาร์เมเนียของโซเวียต กวางเรนเดียร์เป็นสัตว์ในที่ราบ และการพบอยู่ในเทือกเขาคอเคซัสตอนใต้ นับเป็นเรื่องประหลาดลึกลับ เป็นเพราะมีภัยร้ายแรงทางธรณีวิทยาเกิดขึ้นอย่างรุนแรง จนเปลี่ยนแปลงที่ราบให้กลายเป็นบริเวณเทือกเขาใช่หรือไม่? นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากไม่ค่อยยอมรับความคิดนี้ แต่อายุของกะโหลกดังกล่าวประมาณว่า 12,000 ปี 

ซึ่งตรงกับเวลาในเรื่องเล่าเกี่ยวกับการจมของแอตแลนติส เมื่อทดสอบคาร์บอน -14 กับซากช้างแมมมอธ ที่ค้นพบทางตอนเหนือของไซบีเรีย ผลที่ได้คือ 12,000 ปี การที่ช้างแมมมอธอายุนับหมื่นปีตายลงโดยฉับพลัน นับว่าสอดคล้องกับหลักฐานจากข้อเท็จจริง ที่พบช้างแมมมอธบางตัวมีหญ้าคาอยู่ในปาก และในกระเพาะ ขณะอยู่ในท่ายืน

👉เป็นที่น่าสังเกตว่า ช้างแมมมอธนั้นไม่ใช้สัตว์ขั้วโลก อย่างไรก็ตาม หากไม่คำนึงถึงขนที่ยาวแล้ว เมื่อพิจารณาจากโครางสร้างและความหนาของผิวหนัง ทำให้ดูคล้ายคลึงกับช้างอินเดียในเขตร้อน ผิวหนังของสัตว์ที่เย็นแข็งเหล่านี้ คั่งด้วยก้อนเลือดสีแดง เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าความตายนั้นมาถึงในทันที จากน้ำหรือไม่ก็ก๊าซ

งาช้างแมมมอธอายุหลายศตวรรษเคยเป็นสินค้าสำคัญอย่างหนึ่ง 
ริชาร์ด ไลเดกเคอร์ ประมาณว่า งาช้างจำนวน 20,000 คู่ที่ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ถูกขายไปเมื่อไม่กี่ทศวรรษก่อน ค.ศ. 1899 ค่าประมาณนี้ทำให้เรานึกภาพได้ว่า 

มีช้างแมมมอธแช่แข็งจำนวนมากมายสักเท่าใด ที่ฝังอยู่ใต้น้ำแข็ง นับเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องเน้นไว้ตรงนี้ว่า งาช้างที่แกะสลัก สามารถใช้ได้จากงาช้างที่เพิ่งตายใหม่ ๆ หรือที่เย็นแข็งเท่านั้น งาที่โผล่ออกมาและแห้งไม่มีราคาค่างวดอย่างใดเลย ช้างแมมมอธนับหมื่น ๆ ตัวถูกขุดพบในพื้นที่ทางเหนือของอเมริกาและเอเชีย 

ศาสตราจารย์แฟรงค์ ซี. ฮิบบอน ประมาณว่า เฉพาะในอเมริกาเหนือ สัตว์ต้องตายลงเมื่อใกล้ถึงยุคน้ำแข็งจำนวน 40 ล้านตัว เขาเขียนไว้ว่า “ความตายนี้คือ ภัยพิบัติ และเป็นภัยพิบัติทั้งหมดที่มีอยู่นั้น”            

👉หุ่นจำลองช้างแมมมอธ การทดสอบด้วยคาร์บอน -14 ทำให้ทราบว่า ร่องรอยมนุษย์ในทวีปอเมริกาได้หายไปอย่างไม่มีใครคาดคิด เมื่อประมาณ 10,400 ปีก่อน สิ่งที่กวาดมนุษย์ไปจากทวีปอเมริกาเหนือก็คือ น้ำท่วมโลกในตำนานใช่หรือไม่? ..              
จากการคาดคะเนพบว่า จำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน มีมนุษย์ในอเมริกาเพียง 10 ล้านคนเท่านั้น ในขณะเดียวกัน ก็มีประชากรอยู่ในแอฟริกา 26 ล้านคน ในยุโรป 30 ล้านคน และในเอเชีย 133 ล้านคน ค่าเหล่านี้แสดงว่าลุ่มน้ำแอตแลนติก อันหมายถึงอเมริกา ยุโรป และแอฟริกา ต่างมีประชากรเพียงครึ่งหนึ่งของประชากรในเอเชีย ความห่างไกลจากพื้นที่ ความหายนะทางธรณีวิทยา สามารถเป็นตัวแทนตัวเลขจำนวนมากของประชาการเอเชียในสมัยโบราณได้

วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2564

Atlantis ทะเลและภูเขาไฟ กับผืนแผ่นดิน

ทะเลและภูเขาไฟ 
กับ ผืนแผ่นดิน  
     


    “ท้องฟ้าครึ้มลงในทันที ต่อมาก็มีแสงแปลบปลาบเจิดจ้าขึ้นในความมืดนั้น และเวลานั้นมีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะรับรู้เรื่องนี้ และข้าพเจ้ากล้าพูดได้ว่า คนจำนวนมากคงไม่เชื่อ” ประจักษ์พยานรายหนึ่งของเหตุการณ์ภูเขาไฟกรากาตั้วระเบิดเมื่อปี 1883 ได้เขียนไว้    เกาะไฟกรากาตั้วนั้นอยู่ระหว่างเกาะสุมาตราและชวา ถูกระเบิดจมหายไป เกิดเถ้าถ่านบนท้องทะเล คลื่นความสูง 1000 ฟุต ซัดเรือน้อยใหญ่ขึ้นไปถึงภูเขา เสียงสะท้อนจากการระเบิดนั้นได้ยินไปไกลถึงออสเตรเลีย และชั้นบรรยากาศ ปั่นป่วนไปทั่วโลก           
“ทรายและหินที่ตกลงมาอย่างละลานตา ความมืดครึ้มปรากฏอยู่เบื้องบนและรายรอบตัวเราอย่างหนาแน่น จะเว้นไปบ้างก็แต่เมื่อมีสายฟ้านานาชนิดที่เจิดจ้า พร้อมกันนี้ก็มีเสียงระเบิดคำรามดังต่อเนื่องของภูเขากรากาตั้ว ทำให้สถานการณ์ของเราน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง” กะลาสีคนหนึ่งบันทึกถึงความหายนะที่ตนได้เห็น

ภาพจักรราศีบนเพดานของหอในอารามฮาธอร์
ที่เดนเดรา อายุ 3 ศตวรรษ

ก่อนคริสตกา
 คืนหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1966 ผู้เขียนอยู่บนเรือ เดินทางผ่านช่องแคบซุนดา ความสว่างเจิดจ้าอย่างปาฏิหาริย์แห่งกรากาตั้วปรากฏเป็นแสงสีแดงในท้องทะเลและบนผืนเมฆ ความบ้าคลั่งของไฟจากภูเขาไฟ และคลื่นจากความแปรปรวนในกรากาตั้วปรากฏขึ้นต่อหน้าผู้เขียนในทันใด แต่ท้ายสุด กาลเวลาก็ลบเลือนความทรงจำของการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยานี้ไป และมีเพียงเรื่องเล่าพื้นบ้านเท่านั้น ที่จะบันทึกอุบัติการณ์อันเด่นชัดในอดีต บางทีเรื่องเดียวกันนี้ อาจจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับแอตแลนติสในตำนานก็ได้
           
หรือว่าทวีปเหล่านั้นเป็นบ้านเรือนถาวรของชาตินั้นในทุกวันนี้ หรือว่ามหาสมุทรต่างยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมของตนตลอดไป คำตอบมีสั้น ๆ นั่นคือ “ไม่” พร้อมกับมีข้อเท็จจริงอีกมากมาย แม้ว่าประวัติศาสตร์นั้นสั้นเกินไปเมื่อเปรียบกับยุคทางธรณีวิทยา แต่ก็มีบันทึกการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ที่เด่นชัดมากมายในอดีต  
       
นครอีทรัสกันแห่งสปินา ในทะเลเอเดรียติก ที่พลินีและสตราโบระบุไว้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นมหานครอันรุ่งเรืองทางการค้าและวัฒนธรรม บัดนี้ได้จมลงโดยสิ้นเชิง และนครดีโอสกูเรียในทะเละดำปัจจุบันก็จมอยู่ใต้น้ำ และภานากอเรียอันเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ของกรีกโบราณ ซึ่งอยู่ในทะเลดำก็จมสู่ท้องน้ำในอ่าวทามันเช่นกัน  ไม่เพียงแต่เมืองต่าง ๆ เท่านั้น ดินแดนขนดใหญ่ก็จมหายไปในห้วงลึกแห่งมหาสมุทรด้วย เมื่อมีการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกดำเนินต่อไปตลอดเวลา และจากสาเหตุทำนองเดียวกันนี้ การจมของแอตแลนติสจึงอาจจะเป็นจริง การพิจารณาการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์และธรณีวิทยาเหล่านี้ทั่วโลก จะเผยให้เห็นปรากฏการที่น่าตื่นเต้นแปลกใจ
           
อารามจูปิเตอร์-เซราพิสในอ่าวนาเปลส ที่อิตาลี สร้างขึ้นเมื่อ 105 ปีก่อนคริสตกาล อารามนี้ค่อย ๆ
จมลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่เมื่อ ค.ศ.1742 อารามดังกล่าวก็โผล่จากท้องทะเลอีกครั้ง และบัดนี้ก็จมลงอีกครั้ง
             
ป้อมปืนแห่งคาราวาน-ซาไรในทะเลแคสเปียนได้สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.1135 และในเวลานั้นป้อมดังกล่าวค่อย ๆ หายไปใต้น้ำ จากนั้นแหล่งอ้างอิงทั้งปวงเกี่ยวกับป้อมแห่งนี้ในบันทึกโบราณก็เริ่มสับสน จนคาราวน-ซาไรกลายเป็นนิทานไป แต่เมื่อ ค.ศ. 1723 เกาะแห่งนี้ก็โผล่เหนือทะเลอีกครั้ง และยังคงเห็นได้ชัดเจน
           
ท่าเรือพอร์ตรอยัลในประเทศจาเมกา อันเป็นรังโจรสลัด เคยมีแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง และจมลงเป็นบางส่วน เมื่อ ค.ศ.1692              
ส่วนในกรุงลิสบอน มีแผ่นดินไหวเมื่อ ค.ศ.1755 คลื่นทะเลสูงถึง 33 ฟุต พื้นที่ส่วนใหญ่เกิดความเสียหายรุนแรง และประชากร 600,000 คนต้องเสียชีวิต
         
 เมื่อ ค.ศ. 1780 นักสำรวจชาวสเปนชื่อเมาเรลเญ ได้ค้นพบเกาะฟอลคอนในมหาสมุรแปซิฟิคตอนใต้ ครั้น ค.ศ. 1892 รัฐบาลแห่งทองกา ปลูกมะพร้าว 2,000 ต้นบนเกาะนี้ แต่สองปีต่อมา เกาะฟอลคอนนี้ก็ต้องสาบสูญไปใต้ผิวหน้ามหาสมุทร และปัจจุบันนี้ได้โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง
           
แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงมีผลกระทบแก่พื้นที่ลุ่มแม่น้ำสินธุเมื่อปี 1819 ภูมิภาคอันกว้างใหฅญ่ถูกน้ำท่วม มีเพียงอาคารที่สูงลิบเท่านั้นที่อยู่เหนือน้ำ และเมื่อระหว่าง ค.ศ.1822 และ ค.ศ.1853 ชายฝั่งชิลียกตัวสูงขึ้นถึง 30 ฟุต เนื่องจากการสั่นไหวของผิวโลกอย่างรุนแรง
             
เกาะตัวนามีในหมู่เกาะคุก ได้จมลงในมหาสมุทรแปซิฟิก พร้อมกับประชากรอีก 13,000 คน เมื่อช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ผ่านมา เช้าวันหนึ่งคนหาปลาได้ลงเรือออกมาจากเกาะดังกล่าว เมื่อกลับบ้านในตอนค่ำ ปรากฏว่าเกาะนั้นหายไปแล้ว
โพไซดอน เทพเจ้า
แห่งแอตแลนติส 
อายุราว 510 ปี ก่อนคริสตกาล
เมื่อปี 1957 ภูเขาลูกหนึ่งที่ยังมีควันคุกรุ่น ได้โผล่ขึ้นจากห้วงลึกแห่งมหาสมุรแอตแลนติกใกล้กับหมู่เกาะอะโซเรส นอกจากนี้อีกเจ็ดปีต่อมา ก็มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นกับเกาะเซนต์จอร์จ ภัยพิบัตินั้นเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้ผู้อาฅศัย 15,000 คน ต้องหนีจากเกาะ ภูเขาไฟตริสตันดาคุนฮาซึ่งคิดว่าคงสาบสูญไปแล้ว ได้ระเบิดขึ้นในมหาสมุรแอตแลนติสตอนใต้เมื่อ ค.ศ.1961 ทำให้มีการอพยพประชาการไปสู่ประเทฅศอังกฤษ

 ไม่เพียงแต่เกาะและแนวชายฝั่งเท่านั้น แต่ทวีปผืนใหญ่ก็จมหรือยกตัวได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่นประเทศฝรั่งเศส กำลังจมลงด้วยอัตรา 30 เซนติเมตรต่อศตวรรษ ดินแดนระหว่างแม่น้ำคงคาและเทือกเขาหิมาลัยกำลังยกตัวขึ้นอัตรา 18.1 มิลลิเมตรต่อปี เทือกเขาแอนดิสในอเมริกาใต้ก็เชื่อกันว่ายกตัวขึ้น 200-300 ฟุต นับจากสมัยของโคลัมบัส พื้นล่างของมหาสมุทรแปซิฟิคกำลังยกตัวสู่ผิวหน้าในบริเวณหมู่เกาะอะลิวเชียน
           
ฟาเธอร์โจเซฟ ลินช์ แห่งมหาวิทยาลัยฟอรฅ์ดแฮม ในนิวยอร์ก กล่าวว่า ทวีปใหญ่ทวีปหนึ่ง ดูเหมือนพร้อมจะตัวเหนือผิวหน้ามหาสมุทรแอตแลนติกด้วย เรื่องนี้อาจจะเกิดขึ้นกับแอตแลนติสในตำนานและเรื่องปรัมปราได้เช่นกัน
             
เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาอย่างต่อเนื่องในมหาสมุทรต่าง ๆ นั้น มีหลักฐานจากการค้นพบของนักเทคนิคแห่งเรือเวสเทิร์นเทเลกราฟ ที่หาสายเคเบิลที่หายไปในมหาสมุทรแอตแลนติกเมื่อปี 1923 พวกเขาพบว่าสายเคเบิลนั้นอยู่สูงกว่าระดับเดิม เนื่องจากมหาสมุทรยกตัวขึ้นถึง 2.25 ไมล์ ในเวลาเพียงยี่สิบห้าปี หากมหาสมุทรแอตแลนติกมีน้ำแห้งลงในฉับพลัน เราก็จะเห็นแนวยาวจากไอซ์แลนถึงแอนตาร์กติกา ส่วนตอนใต้ของหมู่เกาะอะโซเรสนั้น เป็นภูเขาใต้ทะเล มีชื่อว่า แอตแลนติส (Atlantis) นั่นก็คือ แอตแลนติสในตำนานที่ล้มหายตายจากไป
           
เมื่อปี 1949 ศาสตราจารย์เอ็ม. อีวิง แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้สำรวจสันใต้มหาสมุทรแอตแลนติกตอนกลาง ที่ระดับความลึกระหว่าง 2 ถึง 3.5 ไมล์ เขาพบทรายชายหาดสมัยก่อนประวัติศาสตร์ นี่นับเป็นปริศนาอันยิ่งใหญ่ เพราะทรายในฐานะที่เป็นผลผลิตจากการสึกกร่อน ไม่ได้ปรากฏอยู่บนหาดทรายนั้นเลย ข้อสรุปเพียงอย่างเดียวเกี่ยวกับการค้นพบทรายที่ใต้ท้องสมุทรแอตแลนติกก็คือ พื้นดินอาจจมลงสู่ทะเล หรือระดับมหาสมุทรในยุคอดีตมีระดับต่ำกว่านี้มาก การตรวจสอบครั้งสุดท้าย ทำให้เกิดคำถามว่า น้ำทั้งหมดนั้น หายไปไหน
           
หุบเขาใต้น้ำจำนวนมากในมหาสมุทรแอตแลนติกนั้น มิใช่สิ่งอื่นใดเลย นอกจากแม่น้ำที่มีอยู่ต่อเนื่องมา ข้อนี้ช่วยพิสูจน์ว่า ในบางพื้นที่ พื้นทะเลจะต้องเคยเป็นแผ่นดินมาก่อน
             
เมื่อ ค.ศ. 1898 เรือวางสายเคเบิลของฝรั่งเศสได้พบเศษลาวาลักษณะเหมือนกระจก ที่ระดับความลึก 1,700 ฟาธอม สารกระจกนี้เกิดขึ้นได้เพียงที่ระดับน้ำทะเลเท่านั้น นั่นหมายความว่า การระเบิดของภูเขาไฟเคยปรากฏในตำแหน่งนั้น เมื่อครั้งมหาสมุทรยังเป็นแผ่นดินอยู่

เทือกเขาแอนดิสจะต้องยกตัวขึ้นอย่างทันใด ในเวลาไม่นานมานี้ สมัยเมื่อมนุษย์สามารถเดินเรือใหญ่ได้แล้ว หากเราปฏิเสธข้อสมมตินี้ การมีอยู่ของท่าเรือในทะเลสาบติติคาคาที่ระดับความสูง 12ฅ,500 ฟุต และห่างจากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิค 200 ไมล์นั้น ก็จะเป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้โดยสิ้นเชิง แหวนสำหรับสายเคเบิลบนท่าเรือแห่งนั้น มีขนาดใหญ่มากจนสามารถใช้ได้กับเรือเดินสมุทรเท่านั้น ร่องรอยของวัชพืชทะเลและหอยทะเลนั้น ยังคงเห็นได้ใน “ท่าเรือ” แห่งนี้ 

ในเทือกเขาแอนดิส มีชายหาดที่ยกตัวขึ้นอย่างมาก น้ำในทางด้านใต้ของทะเลสาบติติคาคานั้นยังคงเค็มอยู่ นอกจากนี้ยังมีความลึกลับพอ ๆ กันอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือท่าเรือขนาดยักษ์แห่งนาน-มาทัล ในโพนาปแห่งแคโรไลนส์ นาน-มาทัล นั้นคือเมืองเวนิชที่สร้างยื่นออกไปในทะเล ชาวพื้นเมืองในทุกวันนี้ไม่ได้ประกาศว่าบรรพบุรุษของตนได้สร้างท่าเรือดังกล่าว พวกเขากล่าวถึงกษัตริย์พระอาทิตย์ผู้ปกครองเกาะนั้น และส่งเรือไปยังดินแดนที่ไกลออกไป นาน-มาทัล จะเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่พื้นที่ส่วนใหญ่จมลงในสมัยที่ท่าเรือทะเลสาบติติคาคายกตัวใช่หรือไม่ 

ชาวอินเดียเผาเคชัวกล่าว่าในตอนแรกมีข้าวโพดงอกงามใกล้ทะเลสาบติติคาคา เพราะพื้นที่อยู่ในระดับที่สูงมาก แต่น่าอัศจรรย์ที่บัดนี้ไม่มีอยู่เลย เรื่องทั้งหมดนี้ บ่งชี้ว่าชายฝั่งตะวันตกของอเมริกาใต้ ได้ยกตัวขึ้นอย่างฉับพลัน การจมลงของแอตแลนติสส่าจะเป็นสาเหตุแก่การยกตัวของเทือกเขาแอนดิส
 
นักสำรวจชาวเม็กซิโก นามว่า โฮเซ คาร์เซีย ปายอน ได้พบกระท่อมสองหลังในเทือกเขาคอร์ดิลเลราใต้ชั้นน้ำแข็งหนา และร่องรอยของเปลือกหอย ได้บอกว่า ชายฝั่งทะเลที่สัตว์เหล่านี้เคยอาศัยอยู่ ในปัจจุบันได้ยกตัวขึ้นสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 19,000 ฟุต...

รายการบล็อกของฉัน