หน้าเว็บ

Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2565

คืนชีพสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กกลับมามีชีวิตอีกครั้ง หลังถูกแช่แข็งในชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (Permafrost) ในไซบีเรียกว่า 24,000 ปี และยังสามารถแพร่พันธุ์ต่อได้


เหล่าสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กกลับมามีชีวิตอีกครั้ง หลังถูกแช่แข็งในชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (Permafrost) ในไซบีเรียกว่า 24,000 ปี และยังสามารถแพร่พันธุ์ต่อได้ 

สิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กที่ว่าคือ Bdelloid rotifers อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่น้ำ พบได้ในแอ่งน้ำ ทะเลสาบ บึง น้ำตก และพื้นที่ชื้น ๆ และเป็นที่รู้จักว่าสามารถเอาชีวิตรอดได้ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายแห้งแล้ง ออกซิเจนต่ำ โดยที่ไม่ได้กินอะไร และทนต่อรังสี 

นักวิทยาศาสตร์รัสเซียเป็นคนเจอสิ่งมีชีวิตนี้ในก้อนดินที่แข็งตัวที่ถูกขุดขึ้นมาจากชั้นดินเยือกแข็ง ซึ่งอยู่ใต้เท้าของแรดดึกดำบรรพ์ (Woolly Rhino) ที่สูญพันธุ์ไปแล้วพอดี พวกเขาเขียนรายงานตีพิมพ์ในวารสาร Current Biology 

“รายงานของเราเป็นหลักฐานที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่แสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์สามารถทนในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายได้ในสภาวะ “crypotobiosis” หรือสภาวะไร้ชีวิต ที่ระบบเผาพลาญต่าง ๆ ในร่างกายหยุดพัก” Stas Malavin นักวิจัยจาก Soil Cryology Laboratory  ณ ศูนย์วิจัย Pushchino Scientific Center for Biological Research ในรัสเซียเผย

ซึ่งเคยมีงานวิจัยก่อนหน้าที่ชี้ว่าเจ้า Bdelloid rotifers สามารถเอาตัวรอดโดยการแช่แข็งได้ 10 ปี แต่งานวิจัยใหม่นี้ที่ใช้การหาค่าอายุวัถตุโบราณด้วยคาร์บอน-14 ในการทดลองพบว่ามันอยู่ได้ถึง 2,400 ปี

และเมื่อละลายแล้ว Rotifers ซึ่งอยู่ในสกุล Adineta ยังสามารถสืบพันธุ์ได้ต่อในกระบวนการที่เรียกว่าพาร์ธีโนเจนเนซิส (Parthenogenesis) คือการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ จะเป็นการโคลนตัวเอง และสามารถวางไข่แบบไม่อาศัยการปฏิสนธิ 

“คนไม่สามารถรักษาเซลล์ เนื้อเยื้อ และอวัยวะได้ในเวลาที่นานขนาดนั้น แต่ Rotifers เหล่านี้ พร้อมกับสัตว์ตัวเล็ก ๆ อื่น ๆ ที่เจอในชั้นดินเยือกแข็งกลับสามารถทำได้และแสดงให้เห็นถึงผลของการทดลองที่สร้างโดยธรรมชาติที่เราไม่สามารถลอกเลียนแบบได้  นี่จะเป็นโมเดลที่ดีที่เราจะต้องศึกษาต่อไป” Malavin เผย

Matthew Cobb ศาตราจารย์จาก University of Manchester ผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานวิจัยชี้ว่า สิ่งที่น่าสนใจคือ จะมีสัตว์ที่เคยถูกแช่แข็งในชั้นดินเยือกแข็งคงตัวละลายมากขึ้นจากวิกฤตโลกร้อน “แต่นั่นไม่ได้แปลว่าจะมีอะไรที่ร้ายแรงเกิดขึ้น และมีอะไรมากินเรา การค้นพบนี้จึงจะเป็นโอกาสที่จะให้นักวิทยาศาสตร์ศึกษาว่า Rotifers สามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบจากการแช่แข็งอย่างไร และก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ศึกษาเกี่ยวกับสายพันธุ์ในปัจจุบันกับส่ยพันธุ์บรรษบุรุษของมัน”

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565

นักวิทย์ฯ ชี้หินปริศนา ลึกลับที่พบในทะเลทรายอียิปต์ อาจมีต้นกำเนิดมาจากซุปเปอร์โนวาชนิดหายาก

นักวิทย์ฯ ชี้หินปริศนา ลึกลับที่พบในทะเลทรายอียิปต์ อาจมีต้นกำเนิดมาจากซุปเปอร์โนวาชนิดหายาก หรือมาจากปรากฏการณ์การระเบิดของดาวฤกษ์มวลสูงที่ใช้พลังงานจนหมด หลังพบว่าหินมีอัตราส่วนของแร่ธาตุแตกต่างจากที่คาดไว้

ในปี 1996 มีการค้นพบหินปริศนา ที่เรียกว่า Hypatia ในทะเลทรายซาฮารา ประเทศอียิปต์ ซึ่งผลวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีในงานศึกษาใหม่ชี้ว่า หินอวกาศก้อนนี้อาจเคยเป็นส่วนหนึ่งของซุปเปอร์โนวา (supernova) หรือการระเบิดของดาวฤกษ์มวลสูงเมื่อสิ้นอายุขัย โดยคาดว่าเป็นซุปเปอร์โนวาชนิดหายาก

จากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี นักวิจัยพบว่า Hypatia มีแร่ซิลิคอน
โครเมียม และแมงกานีสอยู่น้อยนิด แต่มีแร่เหล็ก กำมะถัน ฟอสฟอรัส ทองแดง และวาเนเดียมอยู่มากเกินกว่าจะเป็นวัตถุที่มาจากระบบสุริยะของเรา “ลักษณะของปริมาณแร่ธาตุที่เราพบนั้น แตกต่างจากสิ่งที่เรารู้จักภายในระบบสุริยะ ไม่ว่าจะเก่าแก่หรือมีวิวัฒนาการมาแล้วก็ตาม แม้แต่วัตถุจากดาวเคราะห์น้อยและแถบดาวเคราะห์น้อย (asteroid belt) ก็ไม่ได้มีอัตราส่วนของแร่ธาตุที่สอดคล้องกับ Hypatia” นักวิจัยอธิบาย

หลังจากการตรวจสอบเพิ่มเติม ผลวิเคราะห์ชี้ว่า Hypatia อาจไม่ได้มาจากกาแล็กซีฝั่งเดียวกับที่เราอยู่ โดยมีปริมาณแร่บางชนิดน้อยเกินกว่าที่จะกำเนิดมาจากการระเบิดของดาวแคระแดง (ซุปเปอร์โนวาประเภท T2) จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า มันก่อเกิดมาจากซุปเปอร์โนวาชนิด 1a หรือ Type Ia supernovas ซึ่งเป็นซุปเปอร์โนวาชนิดที่เกิดในระบบดาวคู่แบบใกล้กัน โดยมีดาวดวงหนึ่งเป็นดาวแคระขาว ส่วนดาวอีกดวงหนึ่งอาจเป็นดาวยักษ์ใหญ่ หรือแม้แต่ดาวแคระขาวที่มีขนาดเล็กกว่า

เมื่อดาวแคระขาวได้รับการถ่ายโอนมวลจนถึงจุดหนึ่ง ก็จะเริ่มยุบตัวตามความหนาแน่น อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจะทำให้คาร์บอนและออกซิเจนในเหล็กหลอมรวมกัน เมื่อเชื้อเพลิงหมด ดาวก็จะยุบตัวจนระเบิดเป็นซุปเปอร์โนวาที่ปล่อยพลังงานมหาศาล ซึ่งการระเบิดนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ชิ้นส่วนหินพุ่งข้ามผ่านอวกาศ ก่อนที่จะตกลงมายังโลก และแตกออกมาเป็นชิ้นเล็ก ๆ

หากสมมติฐานนี้เป็นจริง “Hypatia จะกลายเป็นหลักฐานของซุปเปอร์โนวาชนิด 1a ที่จับต้องได้ เป็นชิ้นแรกของโลก” อย่างไรก็ตามนักวิจัยระบุว่า องค์ประกอบของแร่ธาตุบางชนิดในหิน ก็ยังไม่ตรงกับที่คาดการณ์ไว้ทั้งหมด และ Hypatia อาจได้ลักษณะเหล่านี้ มาจากดาวยักษ์แดง ที่กำลังสิ้นอายุขัย ก่อนที่มันจะกลายไปเป็นดาวแคระขาวในที่สุด

รายการบล็อกของฉัน