หน้าเว็บ

Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ความลับทางลาดพิศวง สเตรนจ์สโลป ดังในจีน ที่ทำให้คุณรู้สึกสวนทางกับแรงโน้มถ่วงโลก


ความลับทางลาดพิศวง สเตรนจ์สโลป ดังในจีน ที่ทำให้คุณรู้สึกสวนทางกับแรงโน้มถ่วงโลก

ตามกฎฟิสิกส์ทั่วไป ความโน้มถ่วงจะพาตัวคุณที่มีน้ำหนักลงไปสู่พื้น เมื่อคุณพบทางที่ลาดชันลงไปแน่นอนว่ามันจะพาคุณให้ไหลลงไปตามทางลาดนั้น และในทางกลับกันทางที่ลาดชันขึ้นไปจะทำให้คุณต้องออกแรงในการเดินขึ้นซึ่งเป็นสามัญ สำนึกหรือเป็นทฤษฎีที่ทุกคนต่างทราบกันดีอยู่แล้ว


แต่สำหรับจุดชมวิวที่ชื่อว่า สเตรนจ์สโลป (Strange Slope) ที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาเหมาซาน ใกล้กับเมืองเสิ่นหยาง ถือเป็น 1 ใน 8 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของมณฑลเหลียวหนิงในประเทศจีน เนื่องจากทางลาดของที่นี่ทำให้สิ่งของต่าง ๆ กลิ้งขึ้นเนินแทนที่จะลงเนิน

ทางลาดดังกล่าวถูกค้นพบในปี 1990 หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่งได้จอดรถบนพื้นที่ดังกล่าว เมื่อเขาเอาเท้าออกจากเบรกก็สังเกตว่ารถของเขาค่อย ๆ แล่นขึ้นเนินไปจนสุดทาง


คำบอกเล่าของตำรวจรายนี้ถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว และไม่นานนักผู้คนจากทั่วประเทศหรือแม้แต่จากต่างประเทศก็เดินทางมาพิสูจน์ความแปลกประหลาดของทางลาดที่ท้าทายแรงโน้มถ่วงนี้ด้วยตัวเอง


หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจปรับปรุงทัศนยภาพทางลาดแห่งนี้ใหม่ มีการสร้างถนนแยกสำหรับมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ และสเตรนจ์สโลปก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดแห่งหนึ่งในมณฑลเหลียวหนิง

เสน่ห์ของสเตรนจ์สโลปคือการท้าทายแรงโน้มถ่วงที่สังเกตได้อย่างชัดเจน ยานพาหนะใด ๆ ก็ตามที่อยู่บนทางลาดที่สูงกว่าจะไม่ไหลลงไปสู่ข้างล่าง ในขณะที่ยานพาหนะที่อยู่ด้านล่างจะค่อย ๆ ไหลขึ้นข้างบนอย่างน่าอัศจรรย์

เช่นเดียวกับนักปั่นจักรยานที่ต้องออกแรงปั่นลงเนิน ในขณะที่การปั่นขึ้นเนินกลับทำได้อย่างง่ายดาย

แน่นอนว่าทางลาดประหลาดแห่งนี้ไม่ได้ดึงดูดแค่นักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่มันยังดึงดูดนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากอีกด้วย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีหลากหลายนทฤษฎีที่พยายามอธิบายเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้


ซึ่งทฤษฎีส่วนใหญ่ที่ผู้คนเชื่อมากที่สุดก็คือการมีอยู่ของสนามแม่เหล็กที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ และอีกทฤษฎีที่อธิบายเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ นั่นก็คือ มันเกิดจากภาพลวงตา

แล้วคุณคิดว่ามันเกิดจากอะไรหรอครับทางลาดพิศวงต้านแรงโน้มถ่วงของโลก


นั่นทำให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มตรวจสอบสนามแม่เหล็กบนพื้นที่ดังกล่าวและพบว่าไม่มีสนามแม่เหล็กที่ผิดปกติเกิดขึ้น ดังนั้นทฤษฎีภาพลวงตาจึงมีความเป็นไปได้มากที่สุด

พูดง่าย ๆ ก็คือ ดวงตาของคุณกำลังหลอกคุณอยู่ ทางลาดขึ้นเนินที่เห็นจริง ๆ แล้วมันคือทางลาดลงเนิน

เพื่อให้เข้าใจภาพลวงตาที่เกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้น คุณต้องเข้าใจก่อนว่าพื้นที่รอบ ๆ สเตรนจ์สโลปเป็นทางลงเขาขนาดใหญ่ ในขณะที่พื้นที่ของสเตรนจ์สโลปคือทางลาดขึ้นที่มีความยาว 80 เมตรและกว้าง 15 เมตร

ดวงตาของคุณจึงไม่สามารถแยกความแตกต่างของระดับพื้นได้และมองว่า สเตรนจ์สโลปคือส่วนหนึ่งของทางลาดลงเขา

เนื่องจากสเตรนจ์สโลปคือแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองเสิ่นหยาง ดังนั้นความลึกลับของมันที่ยังคงไม่ถูกไขอย่างเป็นทางการก็ยังทำให้สถานที่แห่งนี้มีความน่าสนใจอยู่เสมอ และส่งผลต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเมืองมาอย่างยาวนาน

แปลกมากๆเลยนะครับกับปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบนี้สเตรนจ์สโลป

วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

สาเหตุใด Villa Aurora ในกรุงโรม เป็น บ้านที่มีราคาแพงที่สุดในโลก


สาเหตุใด Villa Aurora ในกรุงโรม เป็น บ้านที่มีราคาแพงที่สุดในโลก


Villa Aurora ตั้งอยู่บนเนินเขาใจกลางกรุงโรม มีภาพจิตรกรรมฝาผนังบนเพดานเพียงแห่งเดียวที่เคยวาดโดยคาราวัจโจ ปรมาจารย์ยุคบาโรกชาวอิตาลี ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นบ้านที่แพงที่สุดในโลก


วิลล่าสมัยศตวรรษที่ 16 ขนาด พื้นที่ 30,000 ตารางฟุต ตั้งอยู่ไม่ไกลจากถนน Via Veneto ที่มีชื่อเสียง 


ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมที่ดีที่สุดของกรุงโรม และใกล้กับ Piazza di Spagna อันโด่งดังและ Porta Pinciana อันเก่าแก่ เดิมทีเป็นที่พักสำหรับล่าสัตว์ วิลล่าแห่งนี้เป็นเพียงสิ่งที่เหลืออยู่ของคอมเพล็กซ์ขนาด 30 เฮกตาร์ของตระกูลขุนนาง Ludovisi ของอิตาลี 

ซึ่งเป็นผู้มอบนักการทูต ผู้อุปถัมภ์ศิลปะ และแม้แต่พระสันตะปาปาจำนวนมากให้กับประเทศ วันนี้ Villa Aurora พบว่าตัวเองเป็นหัวใจของการต่อสู้ทางกฎหมายและศาลอิตาลีได้ตัดสินให้ขายทอดตลาด เฉพาะราคาที่ตั้งไว้สำหรับทรัพย์สินนั้นสูงมากจนไม่มีใครสนใจที่จะจ่าย


“คุณต้องเป็นมหาเศรษฐี เศรษฐีไม่พอสำหรับสิ่งนี้” เจ้าหญิงริตา บอนคอมปาญี-ลูโดวีซี ผู้ครอบครองวิลล่าคนปัจจุบันกล่าวกับเอ็นพีอาร์ “มันต้องการคนที่มีเงินในกระเป๋าหนัก ที่ไม่สนว่าคุณจะต้องเสียเงิน 10,000 ไปกับน้ำรั่วหรืออะไรทำนองนั้น”


เจ้าหญิง Rita Boncompagni-Ludovisi พระชนมายุ 72 พรรษา เป็นพระชายาคนที่ 3 ในเจ้าชาย Nicolo Ludovisi Boncompagni ตอนนี้เธอและลูกชายสามคนจากการแต่งงานครั้งแรกของเจ้าชายกำลังต่อสู้ทางกฎหมายกับ Villa Aurora อันล้ำค่าที่อยู่ตรงกลาง 

เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถทำความเข้าใจกันได้ การประมูลจึงถูกตัดสินโดยรายได้จะถูกแบ่งระหว่างกัน แต่การประมูลบ้านที่แพงที่สุดในโลกไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

ย้อนกลับไปในเดือนมกราคม เมื่อการประมูลครั้งแรกจัดขึ้น ราคาประเมินของ Villa Aurora อยู่ที่ 471 ล้านยูโร (ณ ขณะนั้น 539 ล้านดอลลาร์) และถึงแม้จะมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปะ แต่ก็ไม่มีใคร..แปลกใจจริงๆ ที่อสังหาริมทรัพย์นี้ไม่มีผู้ซื้อเลย

“ฉันคงจะประหลาดใจถ้าผู้ซื้อมาข้างหน้า ให้ราคาสูงเกินไป” 

Alessandro Zuccari ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Sapienza ในกรุงโรม
ผู้ช่วยด้านการประเมินราคามูลค่า 
กล่าวกับThe Guardian “มาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเดือนเมษายน แต่ฉันสงสัยว่าไม่มีใครออกมาก่อน คนอย่างบิล เกตส์จะทำอะไรกับวิลล่า ออโรรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมทั้งหมด”

ทำเลที่ตั้งในใจกลางเมืองหลวงของอิตาลี และประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครเทียบได้

ซึ่งเชื่อมโยงกับนักคิดและศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรปบางคนนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ Villa Aurora ได้รับฉายาว่าเป็น 'บ้านที่แพงที่สุดในโลก' 

นั่นอาจเป็นผลมาจากสมบัติทางศิลปะของพิพิธภัณฑ์ โดยเฉพาะจิตรกรรมฝาผนังบนเพดานที่วาดโดย Carravaggio ซึ่งประเมินว่ามีมูลค่าถึง 310 ล้านยูโร 
มีรายงานว่ามันถูกวาดในปี 1597 และถูกค้นพบในช่วงปี 1960 เท่านั้น


ในเดือนเมษายน Villa Aurora ตกอยู่ภายใต้ค้อนการประมูลอีกครั้ง 

ครั้งนี้ด้วยส่วนลดประมาณ 20% จากราคาเสนอเดิมที่ 471 ล้านยูโร แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครกระตือรือร้นที่จะเสนอราคา เลย...

ตอนนี้ Princess Rita Boncompagni-Ludovisi ได้ขอให้หน่วยงานด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลกบางแห่งหาผู้ซื้อบ้าน แต่นั่นพิสูจน์ให้เห็นถึงลำดับราคาที่สูงขึ้นไปแน่นอน

เจ้าหญิง Boncompagni-Ludovisi ได้ขอให้รัฐบาลอิตาลีซื้อวิลลาและอนุรักษ์ไว้ และความปรารถนาของเธอก็ได้รับการแบ่งปันจากผู้ลงนามในคำร้องเกือบ 40,000 คน แต่ถึงแม้จะลดราคา แต่ Villa Aurora ก็น่าจะทำให้งบประมาณของกระทรวงวัฒนธรรมอิตาลีใช้จ่ายมากเกิน .


👉Anothai Massage Oil น้ำมันนวดคุณภาพสูง กลิ่นหอมอโรม่า น้ำมันธรรมชาติ นำเข้าจากอินเดีย นวดง่าย ไม่เหนียวตัว บำรุงผิว  

ในขณะนี้ Villa Aurora ยังคงอยู่ในตลาดและยังคงรักษาตำแหน่ง 'บ้านที่แพงที่สุดในโลก'

แหล่งขุดค้นทางโบราณคดีมนุษย์ปักกิ่ง โจวโข่วเตี้ยน วิถีดำรงชีวิตของมนุษย์ปักกิ่ง


แหล่งขุดค้นทางโบราณคดีมนุษย์ปักกิ่ง โจวโข่วเตี้ยน วิถีดำรงชีวิตของมนุษย์ปักกิ่ง

มนุษย์ปักกิ่งเป็นมนุษย์โบราณอีกสายพันธุ์ที่มีเกิดขึ้นในเอเชียแห่งประเทศจีนและแหล่งขุดพบก็ได้กลายเป็นมรดกโลกไปแล้วที่ชื่อว่าแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีมนุษย์ปักกิ่ง โจวโข่วเตี้ยน

ทำไมมนุษย์ปักกิ่งเวลาเรามองแล้วหรือจากการจินตนาการแล้วทำไมหน้ามันเหมือนลิงก็ไม่รู้....นะบ้างก็บอกว่ามนุษย์สืบเชื้อสายมาจากลิงไม่รู้ว่ามันจะเป็นจริงหรือเปล่า...แต่ยังไงๆมนุษย์ก็ยังไม่มีหางแล้วทำไมลิงมันถึงยังมีหางอยู่


ตกลงมนุษย์ปัจจุบันนี้สืบเชื้อสายหรือวิวัฒนาการมาจากมาอะไรกันแน่

แหล่งขุดค้นทางโบราณคดีมนุษย์ปักกิ่ง โจวโข่วเตี้ยน (จีนตัวย่อ: 周口店北京人遗址; จีนตัวเต็ม: 周口店北京人遺跡, โจวโข่วเตี้ยนเป่ยจิงเหรินอี๋จี่) คือแหล่งมรดกโลกที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน 


เป็นแหล่งขุดค้นพบกระดูกของมนุษย์ปักกิ่ง ซึ่งมีชีวิตอยู่ประมาณ 200,000 ถึง 750,000 ปีก่อน 

ค้นพบครั้งแรกเมื่อราวปี พ.ศ. 2464 - 2466 (ค.ศ. 1921 - 1923) โดยนักธรณีวิทยาชาวสวีเดน โยฮัน กันเนอร์ อันเดอส์สัน (Johan Gunnar Andersson)


แหล่งขุดค้นทางโบราณคดีมนุษย์ปักกิ่ง โจวโข่วเตี้ยน *
  แหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก

มนุษย์ปักกิ่ง จัดอยู่ในยุคหินเก่า มีลักษณะเตี้ย หน้าสั้น หน้าผากต่ำ แบน คิ้วหนายื่นออก ปากยื่น คางสั้น จมูกแบน มนุษย์ปักกิ่งจะเสียชีวิตก่อนอายุ 14 ปี การเลี้ยงชีพของมนุษย์ปักกิ่งคือ การล่าสัตว์ การออกหาอาหารกันเป็นกลุ่ม ๆ


วิถีดำรงชีวิตของมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ปักกิ่ง อาศัยอยู่ที่บริเวณภูเขาหลงกู่ซาน ในเขตโจวโข่วเตี้ยน เมื่อประมาณ 500,000 ปีก่อน มนุษย์ปักกิ่งสามารถเดินและยืนตัวตรงได้ พวกเขาอาศัยอยู่ในถ้ำธรรมชาติ ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และหาผลไม้เป็นหลักยังไม่รู้จักการตัดเย็บเสื้อผ้าและการสร้างบ้าน มนุษย์ปักกิ่งสามารถใช้ไฟที่มาจากธรรมชาติได้ และได้นำไฟไปใช้ในถ้ำและคอยเติมฟืนเพื่อไม่ให้ไฟดับอีกด้วย

เครื่องมือหินของมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ปักกิ่งจะสกัดแผ่นหินชิ้นใหญ่ให้กลาบเป็นเครื่องมือหิน มีเครื่องมือหินสองลักษณะคือ ลักษณะแบนเรียบ และลักษณะสามเหลี่ยมแหลมคม

ลักษณะแบนเรียบ มีความแหลมคมใช้ในการตัดไม้

ลักษณะสามเหลี่ยมแหลมคม ใช้ในการหั่นเนื้อสัตว์และขุดรากไม้


แหล่งขุดค้นทางโบราณคดีมนุษย์ปักกิ่ง โจวโข่วเตี้ยนได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 30 เมื่อปี พ.ศ. 2530 ที่กรุงวิลนีอุส ประเทศลิทัวเนีย ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้

(iii) - เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว
(vi) - มีความคิดหรือความเชื่อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ หรือมีความโดดเด่นยิ่งในประวัติศาสตร์

หมีหมาหรือหมีคน เป็นหมีที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกแล้วทำไมถึงมีชื่อว่าหมีหมาหมีคน


หมีหมาหรือหมีคน เป็นหมีที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกแล้วทำไมถึงมีชื่อว่าหมีหมาหมีคน

หมีหมา หรือ หมีคน (ชื่อวิทยาศาสตร์: Helarctos malayanus; อีสาน: เหมือย)

วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องหมีนะครับ เรื่องของหมีหมี หมีหมาหรือหมีคน ตกลงจะชื่ออะไรกันแน่ เอาเป็นว่ามี 2 ชื่อก็แล้วกัน   หมีตัวนี้จะมีลักษณะที่แปลกตรงไหนเดี๋ยวเรามาเข้ามาดูรายละเอียดกันดีกว่า


ลักษณะ
หมีหมาเป็นหมีที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ลำตัวยาวประมาณ 1 เมตร ขนตามตัวสั้นสีดำปนสีน้ำตาล ขนบริเวณอกโค้งเป็นรูปตัว U สีขาวนวล บริเวณหน้าตั้งแต่ตาไปถึงปลายจมูกสีค่อนข้างขาว หรือน้ำตาลอ่อน ปกติหมีหมาหากินกลางคืน บางครั้งก็ออกหากินกลางวัน มักหากินเป็นคู่ อยู่ในป่าทึบ 

ไม่ชอบอยู่ตามเขา ดุร้ายและขึ้นต้นไม้เก่งกว่าหมีควาย (U. thibetanus) มีอุปนิสัยโมโหง่าย ชอบนอนบนต้นไม้หรือตามโพรงไม้สูง ๆ ไม่ชอบนอนพื้นดิน บางครั้งร้องคล้ายเสียงสุนัขเห่ากระโชก จึงเรียกว่า หมีหมา เมื่อยืน 2 ขา จะยืนตัวตรง จึงเรียกอีกชื่อว่า หมีคน


ถิ่นอาศัย
หมีหมา พบในพม่า, อินโดจีน, ไทย, มาเลเซีย, สุมาตรา, บอร์เนียว, ภาคใต้ของจีน ในประเทศไทยพบมากทางภาคใต้
อาหาร
หมีหมา ชอบกินลูกไม้ ใบไม้อ่อน สัตว์เล็ก ๆ แมลงรวมทั้งไส้เดือน ที่ชอบมาก คือน้ำผึ้ง นอกจากนี้ยังชอบกินเนื้ออ่อนของมะพร้าว

การสืบพันธุ์
หมีหมา มีการผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี ตั้งท้องประมาณ 95–96 วัน ปกติออกลูกครั้งละ 1–2 ตัว อายุยืนถึง 20 ปี

สถานภาพปัจจุบัน
สัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535


แปลกไหมครับทำไมถึงเรียกว่าหมีหมาหรือหมีคนอาจจะเป็นไปได้ว่าคนที่พบเห็นจะเรียกตามลักษณะของสัตว์ที่เห็นเช่นหน้าเหมือนหมา แต่รูปร่างเหมือนคนก็เลยเรียกหมีชนิดนี้ว่าหมีมาหรือหมีคน

รายการบล็อกของฉัน