หน้าเว็บ

Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ความเชื่อโบราณเกี่ยวกับหินเรด แจสเปอร์ พลังวิเศษ และ คุณสมบัติมากมาย


😪🩸ความเชื่อโบราณเกี่ยวกับหินเรด แจสเปอร์ พลังวิเศษ และ คุณสมบัติมากมาย

🧔🏻ความเชื่อและตำนานของ หินเรด แจสเปอร์ ที่มีคุณสมบัติหลากหลายและความสามารถพิเศษเกี่ยวกับด้านต่างๆมันก็คือความเชื่อที่มีมาดั้งเดิมชาวอินเดียนแดงเรียกหินแจสเปอร์หลากชนิดรวมๆกันว่า “ ผู้นำฝน” เพราะหินชนิดนี้จะถูกนำไปใช้ในพิธีขอฝน รวมไปทั้งผู้ครอบครองจะช่วยป้องกันคุณไสยหรือ

👧หญิงสาววัยรุ่นสวมใส่หินชนิดนี้ติดตัวเอาไว้ จะเพิ่มพลังทางด้านความสวยงาม
ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีสง่าราศีชวนหลงใหลสำหรับชายหนุ่มที่มองมาเป็นยังไงบ้างครับคุณสมบัติพิเศษของหินชนิดนี้ที่ชื่อว่า หินเรด แจสเปอร์ มีมากมาย มันเป็นความเชื่อนะครับอย่าไปคิดอะไรมากคุณเชื่อก็เชื่อคุณไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ

👉🏿มาเข้ารายละเอียดกันเลยดีกว่านะครับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาในการอ่านสาระบทความ

🧔🏻ในด้านความเชื่อเกี่ยวกับหินแจสเปอร์โดยทั่วไปแล้วหินแจสเปอร์นั้นมีหลายสี ชาวอินเดียนแดงเรียกหินแจสเปอร์หลากชนิดรวมๆกันว่า “ ผู้นำฝน” เพราะหินชนิดนี้จะถูกนำไปใช้ในพิธีขอฝน

🧗แต่โดยคุณสมบัติ เรด แจสเปอร์ หรือ หินควอตซ์แดงนี้ตามความเชื่อของชาวอัสซีเรียนเชื่อว่า เป็นหินที่สามารถปกป้องคุ้มครองเราจากสิ่งชั่วร้าย

🧔🏻ถ้าสวมใส่หรือมีหินชนิดนี้ไว้ในครอบครองจะช่วยป้องกันคุณไสย และยังสามารถส่งพลังด้านลบนั้นกลับไปยังต้นตอของคนที่ส่งมาให้ได้อีกด้วย

👉🏿และตามความเชื่อของชาวอินเดียนแดงโบราณนั้นเชื่อกันว่า หากให้ผู้หญิงที่กำลังคลอดบุตรกำหินชนิดนี้ไว้ในมือระหว่างการคลอด จะช่วยให้คลอดง่ายและไม่เจ็บปวดมากนัก อีกทั้งยังช่วยปกป้องคุ้มครองทั้งแม่และเด็กได้ดีอีกด้วย

👉🏿ในด้านการบำบัด ส่วนใหญ่แล้ว เรด แจสเปอร์ มักถูกใช้ในเรื่องของการบำบัดรักษาสุขภาพหากหญิงสาววัยรุ่นสวมใส่หินชนิดนี้ติดตัวเอาไว้ จะเพิ่มพลังทางด้านความสวยงาม เนื่อจากว่าเรด แจสเปอร์จะเป็นหินที่กระตุ้มเลือดลมให้ไหลเวียนดี หญิงสาวจะมีเลือดฝาด มีความสง่างาม และมีอารมณ์ที่สงบนิ่มนวลสมความเป็นผู้หญิง

👧ในด้านเกี่ยวกับความฝัน มีความเชื่อของยุโรปโบราณเชื่อว่า หลังจากการทำงานหนักในแต่ละวัน คนเราควรจะอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด และเมื่อถึงเวลานอนก็ควรจะนอนกำหินเรด แจสเปอร์ไว้ในมือซ้าย เพื่อให้พลังงานของหินกระตุ้นเลือดลมในร่างกายให้ไหลเวียนดี หลังจากนั้นให้หลับไปด้วยที่จิตใจจดจ่ออยู่กับหินก้อนนี้ เพื่อให้ในความฝันของเรานั้นจะได้ฝันถึงหิน เรด แจสเปอร์ ซึ่งพลังของหินจะได้ให้พลังงานเพื่อทดแทนสิ่งที่สูญเสียไปในแต่ละวันแม้ขณะที่เราหลับ

🥘สาระข้อมูลเพิ่มเติม
แจสเปอร์ เป็นแร่ผสมซึ่งประกอบด้วยควอตซ์เม็ดขนาดเล็ก และ/หรือ แคลเซโดนี และแร่ธาตุอื่น ๆ มันเป็นสารประกอบซิลิกาที่ไม่บริสุทธิ์และทึบแสง มักปรากฏเป็นสีแดง เหลือง น้ำตาล หรือเขียว สีที่พบได้ยากคือสีน้ำเงิน สีแดงที่พบเห็นได้ทั่วไปเกิดจากการผสมกันของสารประกอบเหล็ก(III)

👉🏿แจสเปอร์มักถูกตัดให้มีพื้นผิวเรียบ และถูกใช้ในการทำแร่รัตนชาติที่สวยงาม เนื่องจากมันสามารถเจียระไนได้

👉🏿จึงถูกใช้ทำแจกัน ตราสัญลักษณ์ และผอบ ค่าน้ำหนักเฉพาะของแจสเปอร์ส่วนใหญ่อยู่ที่ 2.5 ถึง 2.9 แจสเปอร์สีเขียวแต้มจุดแดง หรือรู้จักกันในชื่อ เฮลิโอโทรป (heliotrope) เป็นหนึ่งในแร่ประจำเดือนมีนาคม

แจสปิลไลต์ (Jaspillite) เป็นหินที่มีแร่เหล็กแบบชั้น ดังนั้นบ่อยครั้งจึงปรากฏเป็นแถบที่เด่นชัดในแจสเปอร์

👉🏿สรุปแล้ว หินเรด แจสเปอร์มันก็ไม่ต่างกับของขลังเครื่องราง หรือ เครื่องประดับ ที่ชาวต่างชาติใส่กัน ...ของคนไทยก็มีเครื่องรางของขลังมากมายเหมือนกันเช่นพระเครื่องหรือตะกรุดก็คงจะคล้ายๆกับหินเรด แจสเปอร์ นี่แหละครับ

คุณเชื่อหรือไม่มนุษย์เรานี้ ถูกสร้างขึ้นมมาโดยกลุ่มมนุษย์ต่างดาว ที่เรียกตัวเองว่าอานันนาคี (Anunnaki)

มนุษย์เรานี้ ถูกสร้างขึ้นมมาโดยกลุ่มมนุษย์ต่างดาว ที่เรียกตัวเองว่าอานันนาคี (Anunnaki)

เรื่องนี้มีที่มา เมื่อนักภาษาศาสตร์
ชื่อว่า Zecharia Sitchin เจ้าของหนังสือดัง ๆ มากมายหลายเล่ม และ
Zecharia Sitchin แกเป็นภาษาศาสตร์แกก็เลยเอาเวลาว่างไปนั่งอ่านแผ่นดินเหนียวคูนิฟอร์ม (cuneiform )

👉🏿แผ่นดินเหนียวโบราณที่ใช้บันทึกเรื่องราวในอารยธรรมสุเมเรี่ยนโบราณ พอศึกษาไปสักพัก Zecharia Sitchin ก็เชื่อและหาเหตุผลสมมติฐานไปว่า...

มนุษย์ ถูกสร้างขึ้นมมาโดยกลุ่มมนุษย์ต่างดาว ที่เรียกตัวเองว่าอานันนาคี (Anunnaki)เหล่าทวยเทพในตำนานชาวสุเมเรี่ยน

คุณ Sitchin ไม่ลดละความพยายามเดินทางไปทั่วโลกเพื่อตามรอยอารยธรรมที่เชื่อกันว่าเป็นอารยธรรมที่มาจากนอกโลก ไม่วาจะเป็น สโตนเฮนจ์ โบราณสถานเทียฮัวนาโค มาชูปิกชู พีระมิด รวมไปถึงอารยธรรมโบราณของสุเมเรี่ยนซึ่งได้ระบุว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากดาวนิบิรู 

👉🏿จากการถอดรหัส อักษรคูนิฟอร์มมากกว่าสองพันชุดที่จารึกเรื่องราวในดินแดนแถบอ่าวเปอร์เซียเอาไว้ บางจารึกมีอายุถึงหกพันปี บางจารึกก็แตกหักไม่สมบูรณ์แถมยังกระจายอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก มีจารึกคูนิฟอร์มชิ้นนึงที่ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในประเทศเยอรมณีกล่าวถึงราย ละเอียดทางดาราศาสตร์บางประการ โดยเฉพาะที่ชี้ว่าโลกถือเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ดหากนับจากดาวพลูโตนี่แหละ ครับ ฟังแล้วน่าทึ่งจริงๆ เพราะอายุของจารึกคูนิฟอร์มนี้มันมีอายุล่วงเลยเข้าไปตั้งสี่พันกว่าปีแล้ว

👉🏿ทั้งที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เพิ่งค้นพบดาวพลูโตและนับมันเป็นดาวเคราะห์ ดวงหนึ่งในระบบสุริยะเมื่อเร็วๆ นี้เอง ชาวสุเมเรียนโบราณเค้ารู้จักดาวพลูโตกันได้อย่างไร น่าทึ่งนะครับ ยังมีสิ่งน่าทึ่งกว่านี้อีกครับ ในจารึกของชาวสุเมเรียนโบราณบอกไว้อย่างชัดแจ้งว่าพวกเขามาจากห้วงท้องฟ้า ที่เรียกกันว่านิบิรุ

👉🏿พระเจ้าหรือพระผู้สร้างจาก นิบิรุพาพวกเขาเดินทางลงมายังโลก แล้วก็ปล่อยให้ชาวสุเมเรียนโบราณเหล่านี้ ใช้ชีวิตเริ่มต้นอารยธรรมกันบนดินแดนเมโสโปเตเมีย ก่อนที่เหล่าผู้สร้างจะกลับไปยังดาวนิบิรูดังเดิม และปล่อยให้ชาวสุเมเรี่ยนพัฒนาอารยธรรมและสังคมสืบต่อกันมาเอาเอง

👉🏿มาถึงตรงนี้ ก็เล่นเอานักวิทยศาสตร์ปัจจุบันงงเป็นไก่ตาแตกกันไปเลย เพราะอยู่ ๆ ก็มีข้อมูลที่ถูกบันทึกเอาไว้กว่า 6 พันปี บอกว่า พวกเราเนี้ย ถูกเอามาปล่อยไว้ที่โลกโดยกลุ่มผู้สร้างที่เรียกตัวเองว่าอานันนาคี

👉🏿หลักฐานอีกชิ้นที่ยืนยันการมีอยู่ของพระเจ้าจากอวกาศ ก็คือแผนที่ครับ เป็นแผนที่โลกจารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียวอายุอานามกว่าหกพันปี มีเส้นรุ้งเส้นแวงครบถ้วนตามกระบวนการทำแผนที่ยุคปัจจุบันเด๊ะ เพียงแต่ลักษณะของทวีปต่างๆ

ไม่เหมือนกับปัจจุบันเลยซักนิดเดียว มันคืออะไร? แผนที่โลกนี้เมื่อนมนานมาแล้วหรือว่าเป็นแผนที่ของดวงดาวอันไกลโพ้น ดวงดาวที่ Anunaki นำบรรพชนของเราลงมายังโลก

📒มีงานเขียนบางชิ้นกล่าวถึงการสร้างมนุษย์จากหลอดทดลอง มนุษย์ที่ว่าก็คือบรรพชนของเรานี่แหละครับ งานเขียนเหล่านั้นจะอ้างอิงคัมภีร์พันธสัญญาเก่าเป็นหลัก

✝️อาศัยการตีความจากไบเบิลเท่านั้น แต่บันทึกของสุเมเรี่ยนเจ๋งกว่า เพราะมีทั้งเรื่องราวและภาพโครงสร้างของ DNA อยู่อย่างเสร็จสรรพ(รออ่านนะครับ กำลังรวบรวมข้อมูล) ชาวสุเมเรียนโบราณรู้เรื่อง DNA ตลอดจนวาดภาพโครงสร้างของมันออกมาได้อย่างไรครับหากเขาไม่เคยเห็นมาก่อน?

⁉️คำถามสุดท้ายสำหรับช่วงนี้คืออนาคตของมนุษย์จะเป็นอย่างไรต่อไป ทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศกำลังมีน้ำหนักและอิทธิพลต่อความเชื่อของคนยุคปัจจุบัน มากขึ้นทุกที หลายคนเริ่มคล้อยตามในขณะที่บางคน บางกลุ่ม โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจยอมรับมันมานานแล้ว เราอาจถูกสร้างโดยพระผู้สร้างผู้เดินทางมาจากอวกาศ สักวันเราจะมีโอกาสเจริญรอยตามพระผู้สร้างได้หรือไม่ เพราะอย่างน้อยตอนนี้มนุษย์เราได้เติบโตขึ้นกว่าเดิมมากมาย

เรียกได้ว่าก้าวหน้าทั้งศาสตร์และศิลป์จนทำให้บัลลังก์ของพระเจ้าจากอวกาศ เริ่มสั่นคลอนบ้างแล้ว ที่สำคัญคือสันดานก้าวร้าวในตัวมนุษย์รวมถึงนิสัยชอบก่อสงครามนี่แหละจะทำ ให้มีปัญหาขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ส่วนหนึ่งเกิดปีกกล้าขาแข็งและคิดจะวัดรอยเท้าพระ เจ้าขึ้นมา?

รายการบล็อกของฉัน