หน้าเว็บ

Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2565

ความลับ...หอสมุดอะเล็กซานเดรีย

ความลับของหอสมุดอะเล็กซานเดรีย

ภาพจำลองคนกำลังอ่านหนังสือใน
หอสมุดอะเล็กซานเดรียจำลอง  
State Library .. Alex Alexandria.
คำประกาศของนักบวชบาบิโลนและอียิปต์ ที่ว่าพงศาวดารของตนมีอายุเก่าแก่กว่าหมื่นปีนั้น ปรากฏว่าเป็นการคุยโวโอ้อวดอย่างมาก อย่างไรก็ตามเป็นที่ทราบกันว่า เซราเพอุมและบรูเชอุมในอะเล็กซานเดรีย ก็คือที่เก็บเอกสารล้ำค่าจำนวนนับล้านชิ้น การค้นพบเอกสารเหล่านี้เพียงบางส่วนในทุกวันนี้ ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงมุมมองที่เรามีต่อประวัติศาสตร์โบราณได้ในพริบตา    
  

หอสมุดอะเล็กซานเดรียมีการเรียกชื่อได้เหมาะมากกว่า แหล่งกำเนิดวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ความก้าวหน้าของมนุษยชาติจะถูกกระตุ้นขึ้นอีก หากอารยธรรมยุโรปรับเอามรดกนี้มา

พระนางคลีโอพัตรานั่นเอง ผู้ได้ปิดฉากรายพระนามของกษัตริย์อียิปต์ในฐานะผู้ปกครองพระองค์สุดท้ายของอาณาจักรแห่งฟาโรห์ พระนางจึงอาจมีพระบรมราชโองการให้เก็บเอกสารและปาปิรัสไว้ในกรุใต้ดิน

ยังมีเรื่องเล่าว่า ไม่นานก่อนที่พวกโรมันจะเผาหอสมุดอะเล็กซานเดรีย หนังสือสำคัญบางเล่มของอียิปต์จากหอสมุดถูกซ่อนไว้ในสถานที่ลับ กล่าวกันว่าตำแหน่งของกรุดังกล่าวที่มีม้วนกระดาษล้ำค่านั้น คนสมัยเก่าก่อนต่างรู้จักกันดี


จูเลียส ซีซาร์ได้ยิงกองเรืออียิปต์ในอะเล็กซานเดรีย และไฟนั้นลุกลามไปในเมือง และเผาผลาญบรูเชอุม แม้ว่าดิโอเคลเทียนจะซ่อมแซมห้องสมุดต่าง ๆ แต่ออเรเลียนก็โจมตีบรูเชอุมลงอีกครั้ง พวกบ้าคลั่งที่นับถือศาสนาคริสต์ได้ปล้นเซราเพอุมในสมัยของเธโอโดซิอุส ประวัติศาสตร์ไม่ได้บอกเราว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนังสือที่ถูกขโมยไป บางทีกระดาษม้วนจำนวนมากอาจถูกนำไปยังมือที่มีค่าของผู้คิดถึงชนรุ่นต่อไป ที่ฝังอยู่ในสถานที่ปลอดภัยก็ได้


เอช. พี. บลาวาตสกี กล่าวไว้ในงานเขียนของตนชื่อ เปิดโปงเทพไอริส ว่าอารามของกรีกเป็นที่เก็บรักษาเอกสารหายากของเธโอดัส ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ห้องสมุดอะเล็กซานเดรียที่มีชื่อเสียง บลาวาตสกีกล่าวว่าตนได้เห็นสำเนาเอกสารเหล่านี้ในมือของนักบวช มีข่าวลือไม่นานก่อนจูเลียส ซีซาร์บุกอียิปต์ว่า หอสมุดนั้นกำลังซ่อมแซม ก่อนหน้านี้ม้วนกระดาษล้ำค่าที่สุดถูกขนย้ายไปยังบ้านของบรรณารักษ์ท่านหนึ่ง

เมื่อไฟที่พวกโรมันก่อขึ้นเริ่มเผาผลาญห้องเก็บนังสืออันมีค่าของพระนางคลีโอพัตรา ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องคาดคิดว่าปาปิรัสไหม้ไปด้วย อย่างไรก็ตาม ปาปิรัสเหล่านี้ยังเหลือรอดมา เนื่องจากเจ้าหน้าที่ห้องสมุดที่คาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าจะเกิดไฟไหม้ในช่วงสงคราม



ผู้ให้ข่าวแก่บลาวาตสกี ซึ่งมีสำเนาเอกสารของเธโอดุสได้บอกว่า เมื่อถึงเวลา คนอีกจำนวนมากจะได้เห็นรายงานโบราณชิ้นนี้ อันเกี่ยวกับชะตาของห้องสมุดอันยิ่งใหญ่ และจะเป็นการเผยให้เห็นถึงสถานที่ที่จะค้นพบกระดาษม้วนทางประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นอยู่อย่างปลอดภัย พวกนักบวชกล่าวว่า หนังสือที่ดีเยี่ยมที่สุดนับพันเล่มมีเก็บอยู่ในทวีปเอเชีย นี่เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ?

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2565

ศิลปะจากอารยธรรมที่สาบสูญGiants of Monte Prama



ศิลปะจากอารยธรรมที่สาบสูญ! ‘Giants of Mont’e Prama’ รูปปั้นยักษ์สุดงดงามราวกับเป็นผลงานในยุคปัจจุบัน....
ค้นหา
ค้นหา
ย้อนกลับไปในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1974 Sisinnio Poddi และ Battista Meli สองชาวไร่ในหมู่บ้าน Cabras เมือง Oristano แคว้นปกครองตนเองซาร์ดิเนีย (Sardinia) ประเทศอิตาลี บังเอิญขุดพบรูปปั้นศีรษะมนุษย์ขนาดยักษ์รูปทรงแปลกตา โดยรูปปั้นที่พบนี้มีความสูงประมาณ 2-2.5 เมตร หลังจากนั้นนักโบราณคดีและผู้เชี่ยวชาญได้เข้ามาทำการขุดค้นหาต่อ และพบรูปปั้นต่างๆ ที่ฝังอยู่ใต้ดินมากกว่า 5,000 ชิ้นเลยทีเดียว มีทั้งรูปปั้นของนักรบที่ถือโล่และดาบ พลธนู นักมวย เรือ และรูปปั้นข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เป็นต้น ...

โดยผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่า 
รูปปั้นเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 13-14 ในยุคของ ‘อารยธรรม Nuragic’ อารยธรรมโบราณที่หายสาบสูญไปนานมากแล้ว...

‘อารยธรรม Nuragic’ คืออารยธรรมของชนเผ่ากลางทะเลสุดลึกลับที่มีถิ่นอาศัยอยู่บนเกาะแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน หากแต่เมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 12-13 ชนเผ่าทะเลเหล่านี้ได้ย้ายถิ่นฐานมายังแคว้นปกครองตนเองซาร์ดิเนีย ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศเป็นเกาะใหญ่และมีความอุดมสมบูรณ์มากกว่าแหล่งที่อยู่อาศัยเดิม และพวกเขาก็ได้รังสรรค์รูปปั้นศีรษะขนาดยักษ์ที่ขุดพบเหล่านี้ขึ้นมา 

เพื่อเป็นการขอบคุณบรรพบุรุษและเป็นการบูชาเทพเจ้า ที่ทำให้พวกเขาพบแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ที่ดีกว่าเดิม โดยลักษณะเด่นของรูปปั้นแห่งอารยธรรม Nuragic นั้น คือขนาดของดวงตาที่มีลักษณะเป็นวงกลม 2 ชั้นขนาดใหญ่ ซึ่งรูปทรงแบบนี้ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เป็นลักษณะเฉพาะของอารยธรรม Nuragic เท่านั้น และมีการตั้งชื่อให้กับรูปปั้นเหล่านี้ว่า ‘Giants of Mont’e Prama’

นักโบราณคดีและผู้เชี่ยวชาญหลายท่านให้ความเห็นตรงกันว่า ไม่น่าเชื่อว่าอารยธรรมของชนเผ่าโบราณ ที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยอยู่บนเกาะกลางมหาสมุทรที่อยู่ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่อย่างอารยธรรม Nuragic นั้นจะมีวิวัฒนาการการสร้างรูปปั้นได้งดงามราวกับเป็นผลงานของอารยธรรมรุ่งเรืองในยุคหลังได้ถึงเพียงนี้ และถ้าเกิดมีการค้นพบแหล่งที่อยู่อาศัยดั้งเดิมของชนเผ่าทะเลเหล่านี้ล่ะก็ ซากอารยธรรมโบราณอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา 

คงจะเป็นประโยชน์ต่อวงการโบราณคดีเป็นแน่ อย่างไรก็ตามยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า แหล่งที่อยู่อาศัยดั้งเดิมของชนเผ่าอารยธรรม Nuragic อยู่แห่งใด และเหตุใดพวกเขาจึงมีฝีมือการปั้นได้ล้ำสมัยเช่นนี้!?

ปัจจุบันผลงานรูปปั้นที่ขุดพบถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติในเมือง Cagliari เมืองหลวงแห่งแคว้นปกครองตนเองซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี ใครไปเที่ยวแถวนั้นอย่าลืมแวะเข้าไปชมกันด้วยนะ

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2565

ความลึกลับ..ปฏิทินจากแอตแลนติส




วันเวลาโดยประมาณของการสิ้นสุดทวีปแอตแลนติสนั้น อาจจะได้มาจากการตรวจสอบปฏิทินโบราณเหล่านี้ ปีแรกของพงศาวดารโซโรอัสเตอร์ก็คือ 9,660 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อ “เวลาเริ่มต้นขึ้น” เรื่องนี้ใกล้เคียงกันมากกับวันที่จากนักบวชชาวอียิปต์ ที่บอกวันสิ้นสุดของแอตแลนติสแก่โซลอน นั่นคือ 9,560 ปี ก่อนคริสตกาล
จารึกของมายาแสดงการนับวันเวลา

ปฏิทินอันละเอียดซับซ้อน ของมายา

ปฏิทินจากแอตแลนติส  (Calendar of Atlantic)  
เมื่อข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เราจะพบความสัมพันธ์อีกอย่างหนึ่งระหว่างชาวเปรูและชาวอียิปต์โบราณ ปฏิทินของชนเหล่านี้มี 18 เดือน เดือนละ 20 วัน มีวันหยุดเก้าวันเมื่อสิ้นปี นี่เป็นเหตุบังเอิญหรือเป็นธรรมเนียมจากแหล่งกำเนิดเดียวกันแน่

ชาวอียิปต์โบราณคำนวณเวลาในวัฏจักรตามสุริยคติ รอบละ 1,460 ปี จุดสิ้นสุดของยุคสมัยทางดาราศาสตร์ยุคสุดท้ายก็คือ ค.ศ.139 แปดรอบสุริยคติ จากเวลาดังกล่าว ทำให้เราถอยหลังไปถึง 11,542 ปีก่อนคริสตกาล ปฏิทินแบบจันทรคติของชาวอัสซีเรียแบ่งเวลาเป็นยุค ยุคละ 1,805 ปี ปีสุดท้ายสิ้นสุดเมื่อ 712 ปีก่อนคริสตกาล หกรอบจันทรคติ จากเวลาดังกล่าว คือ เมื่อย้อนกลับไปถึง 11,542 ปีก่อนคริสตกาล ปฏิทินแบบสุริยคติของอียิปต์ และระบบปฏิทินจันทรคติของอัสซีเรีย ต่างสอดคล้องลงในปีเดียวกัน นั่นคือ 11,542 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นเวลาที่คาดว่าได้สร้างปฏิทินทั้งสองนี้ขึ้น
           
พราหมณ์ได้วัดเวลาในรอบ 2,850 ปี จาก 3,102 ปี ก่อนคริสตกาลสามรอบ หรือ 8,550 ปี เมื่อบวกกับ 3,102 ปีก่อนคริสตกาล ก็จะได้เวลา 11,652 ปีก่อนคริสตกาล
ปฏิทินของชาวมายาแสดงว่าชนโบราณของอเมริกากลาง มีรอบปียาวนานถึง 2,760 ปี จุดเริ่มต้นของรอบที่หนึ่งนั้น ย้อนกลับไปถึงเมื่อ 3,373 ปีก่อนคริสตกาล สามรอบของ 2,760 ปี หรือ 8,280 ปี จาก 3,373 ปีก่อนคริสตกาล ก็จะย้อนกลับไปถึง 11,653 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งปรากฏเป็นปีเดียวกันกับปฏิทินของนักบวชในอินเดีย

จารึกวาติกัน เอ-3738 ประกอบด้วยพงศาวดารที่สำคัญของแอซเต็ก จากพงศาวดารนี้พบว่าวัฏจักรแรกต่อเนื่องกันไป 4,008 ปี และจบลงเมื่อน้ำท่วมใหญ่ วัฏจักรที่สองของรอบ 4,010 ปีนั้น สิ้นสุดลงเมื่อเกิดพายุมาทำลายล้าง ยุคที่สามของรอบ 4,801 ปี สิ้นสุดลงด้วยไฟล้างโลก ในวัฏจักรที่สี่ซึ่งยาวนานถึง 5,042 ปี มนุษย์ถึงยุคเข็ญด้วยความอดอยาก ยุคปัจจุบันเป็นยุคที่ห้า เริ่มต้นเมื่อ 751 ปีก่อนคริสตกาล ระยะเวลาในสี่ยุคที่บันทึกไว้ในจารึกนั้นรวมแล้วเป็น 17,861 ปี และจุดเริ่มต้น ย้อนกลับไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือเมื่อ 18,612 ปีก่อนคริสตกาล
           
ท่านบิชอปดีเอโก เดลันดาได้เขียนไว้เมื่อ 1566 ว่า ในสมัยนั้นชาวมายาคำนวณปฏิทินของตนจากวันเวลาประมาณ 3,113 ปีก่อนคริสตกาล ในพงศาวดารของยุโรป พวกเขาบอกว่า เมื่อถึงวันดังกล่าว เวลาผ่านไปแล้ว 5,125 ปี นั่นหมายความว่าจุดกำเนิดของชาวมายาย้อนกลับไปไกลถึงเมื่อ 8,238 ปีก่อนคริสตกาล หรือใกล้เคียงกับยุคน้ำท่วมของแอตแลนติส
             

 หลังจากการได้ร่องรอยของวันเวลาสมัยแอตแลนติสแล้ว ยังมีข้อยืนยันที่มีเหตุผลจากพื้นฐานของตัวเลขที่บอกว่า เมื่อหลายพันปีก่อน มนุษย์มีความรู้เรื่องดาราศาสตร์พอสมควร อันมักจะเป็นคุณลักษณะของอารยธรรมขั้นสูง
           
วันเวลาที่ยาวนานที่สุดในปฏิทินของมายา มี 13 ชั่วโมง และวันที่สั้นที่สุดมี 11 ชั่วโมง ในอียิปต์โบราณ วันที่ยาวนานที่สุดมี 12 ชั่วโมง 55 นาที และวันที่สั้นที่สุดมี 11 ชั่วโมง 5 นาที ค่าเล่านี้มีความใกล้เคียงกันอย่างมากกับเวลาของมายา แต่สิ่งที่ยังเป็นปริศนาก็คือ เวลา 12 ชั่วโมง 55 นาที มิใช่ช่วงเวลาจริงของวันที่ยาวที่สุดในอียิปต์ แต่เป็นเวลาของซูดาน จากความพยายามที่จะอธิบายความแตกต่างนี้ ด็อกเตอร์แอล. ซัจด์เลอร์ แห่งวอร์ซอ ได้เสนอว่า การคำนวณเวลานี้มาจากแอตแลนติสในเขตร้อน
           
นักโบราณคดีนามว่า อาร์เธอร์ โพสนันสกี แห่งลาปาซ ประเทศโบลีเวีย ได้กล่าวถึงอารามพระอาทิตย์ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ที่เตียอัวนาโค ว่าการก่อสร้างนั้นถูกละทิ้งลงในทันที เมื่อประมาณ 9,550 ปีก่อนคริสตกาล อันเป็นเวลาที่คุ้นเคยกันดี เพราะนักบวชแห่งไซส์บอกแก่โคลอนว่า แอตแลนติสสูญไปเมื่อ 9,560 ปีก่อนคริสตกาล
           
จากคำกล่าวของ อี.เอฟ ฮากีไมสเตอร์ แห่งสหภาพโซเวียต ได้กล่าวถึงเรื่องการจมของแอตแลนติสว่า “จุดจบของยุคน้ำแข็งในยุโรป เป็นปรากฏการณ์ของกระแสน้ำอุ่นในมหาสมุทรแอตแลนติก และการจมของแอตแลนติส ปรากฏในทันที เมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล“
       
👉🏿มิใช่ว่านักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดจะมองปัญหาของแอตแลนติสไปทางเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์บางท่านก็ไม่ใส่ใจในทฤษฎีนี้ โดยไม่คำนึงถึงหลักฐานใด ๆ บ้างก็พยายามจะให้แอตแลนติสอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สเปน หรือในเยอรมนี แต่ที่แน่นอนนั่นไม่ใช่แอตแลนติสของเพลโต และของนักวิชาการชาวอียิปต์ ที่ได้ระบุไว้ว่า “เบื้องหน้าของเสาเฮอร์คิวลิสในมหาสมุทรแอตแลนติก”
             
ในห้องอียิปต์ ในพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ที่กรุงปารีส ผู้เขียนเห็นลายสลักพื้น ๆ ที่ปรากฏบนราวบันไดโดยไม่มีจารึก อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็นึกถึงภาพสลักอย่างเช่น จักรราศีแห่งเดนเดราห์อันลือชื่อ แต่เดิมภาพระลึกของอียิปต์นี้ เป็นส่วนหนึ่งของเพดาน ในระเบียงทางเข้าวิหารเดนเดราห์ในอียิปต์ตอนเหนือ จากนั้น ลีโอร์แรง ได้นำมายังฝรั่งเศสเมื่อ ค.ศ.1821
             

 เป็นเวลาหลายชั่วอายุคนที่ปฏิทินเดนเดราห์ยังทรงปริศนาอันน่าพิศวงแก่วงการวิทยาศาสตร์ เครื่องหมายจักรราศีดังกล่าวจัดเรียงเป็นลายก้นหอยและสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่จดจำได้อย่างง่ายดาย แต่ราศีสิงห์อยู่ในช่วงเวอร์นิล อิควินอกซ์ นี้เอง ทำให้เราบอกได้ว่าเวลาที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ในแอตแลนติสนั้น อยู่ในช่วง 10,950 ถึง 8,800 ปีก่อนคริสตกาล จักรราศีเดนเดราห์นั้นมีกำเนิดจากอียิปต์ก็จริง แต่อาจจะสลักไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ของเหตุการณ์ในอดีตไกลโพ้นก็เป็นได้ นั่นคือจุดจบของแอตแลนติสและจุดกำเนิดของวัฏจักรใหม่

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2565

นาซาทวงคืน ซากแมลงสาบและฝุ่นดวงจันทร์ ตัวอย่างทุกชิ้นจากดวงจันทร์ที่นำกลับมายังโลกโดยภารกิจ apollo ถือเป็นสมบัติของชาติ

🙄นาซาทวงคืนฝุ่นดวงจันทร์และแมลงสาบ

นาซาทวงคืน ซากแมลงสาบและฝุ่นดวงจันทร์ ตัวอย่างทุกชิ้นจากดวงจันทร์ที่นำกลับมายังโลกโดยภารกิจ apollo ถือเป็นสมบัติของชาติ 

🙄เป็นข่าวที่ดูแล้วมันแปลกๆนะครับแต่คนที่เอาไปนั้นก็คิดว่าเขากำลังจะไปประมูล
👉🏿ที่มาของเรื่องนี้คือนักกีฏวิทยาของมหาวิทยาลัยมินเนสโซตา ผู้วิจัยก็ไม่ได้ส่งตัวอย่างและซากสัตว์นั้นคืนให้นาซาหลังเอาไปทดลอง
👉🏾ฝ่ายลูกสาวของนักวิจัยคนนี้ก็จะเอาแมลงสาป และ ฝุ่นละอองดวงจันทร์ออกมาประมูล...นั่นแหละครับเป็นที่มา ที่นาซ่าออกมาทวงแมลงสาปคืน

"ของในรายการประมูลนี้ประกอบด้วย ฝุ่นดวงจันทร์น้ำหนักรวม 40 มิลลิกรัม ซากแมลงสาบสามตัว และแผ่นสไลด์จากกล้องจุลทรรศน์อีกหลายสิบแผ่น "อาร์อาร์ออกชัน"คาดว่าจะได้เงินจากการประมูลรายการนี้กว่าสิบล้านบาทเลยทีเดียว"ข่าวย่อๆมันจะเป็นแบบนี้นะครับ

🙄อ่านรายละเอียดของข่าวแบบเต็มๆได้ข้างล่างนี้ครับ
แค่ได้ยินคำว่า "แมลงสาบ" ทุกคนก็ขนลุกขนพองด้วยความขยะแขยง เป็นสัตว์ที่เสมอต้นเสมอปลายในเรื่องความน่ารังเกียจ เจอที่ไหนเป็นต้องโดนตบให้ด่าวดิ้นแล้วเอาไปเททิ้งให้ไกล

👉🏿ใครจะเกลียดจะกลัวก็ช่าง แต่นาซาอยากได้คืน😁

🌀ย้อนหลังไปเมื่อ วันที่ 19 กรกฎาคม 2512 หรือกว่าครึ่งศตวรรษก่อน ภารกิจอะพอลโล 11 ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่โลกด้วยการนำมนุษย์ลงไปเดินบนดวงจันทร์ได้เป็นครั้งแรก ภารกิจในครั้งนั้น มนุษย์อวกาศได้นำตัวอย่างฝุ่นจากดวงจันทร์กลับมาด้วย มีน้ำหนักรวมราว 21 กิโลกรัม

ลูกเรือของอะพอลโล 11 บนดวงจันทร์ (จาก NASA)

ตัวอย่างฝุ่นจากดวงจันทร์ส่วนหนึ่งราว 2 กิโลกรัมถูกส่งไปยังมหาวิทยาลัยมินเนสโซตาเพื่อศึกษาค้นคว้า ที่นี่ นักวิจัยได้ทดสอบกับสัตว์หลายชนิดเพื่อดูว่าฝุ่นดวงจันทร์เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตหรือไม่  

การทดลองมีทั้งการฉีดฝุ่นเข้าไปในร่างกายโดยตรง การผสมฝุ่นเข้ากับอาหารแล้วให้กิน และการให้อาศัยอยู่บนกองฝุ่นจากดวงจันทร์ สัตว์ที่ถูกนำมาทดสอบมีทั้งสัตว์น้ำ และแมลงบางชนิดรวมถึงแมลงสาบด้วย

🦇รายงานผลการทดลองครั้งนั้นระบุว่า ไม่มีสัตว์ตัวใดได้รับอันตรายจากฝุ่นดวงจันทร์ หลังการทดลอง แมเรียน บรูก 
นักกีฏวิทยาของมหาวิทยาลัยมินเนสโซตา ผู้วิจัยก็ไม่ได้ส่งตัวอย่างและซากสัตว์นั้นคืนให้นาซาอย่างที่ควรจะเป็น 

แต่กลับเก็บเอาไว้และต่อมาก็เอาไปตั้งแสดงไว้ที่บ้านตนเอง ครั้นเมื่อเธอเสียชีวิตในปี 2550 ลูกสาวก็นำตัวอย่างนั้นออกขาย 

หน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งของวันที่ 6 ตุลาคม 1969 ที่ตีพิมพ์งานวิจัยฝุ่นดวงจันทร์ของ มาเรียน บรูกส์ (จาก RR Auction)

ซากแมลงสาบกับฝุ่นดวงจันทร์ชุดนั้นถูกส่งต่อไปกี่มือก็ไม่ทราบได้ แต่ล่าสุดมาปรากฏเป็นของประมูลของบริษัทอาร์อาร์ออกชันเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา 

👉🏿ของในรายการประมูลนี้ประกอบด้วย ฝุ่นดวงจันทร์น้ำหนักรวม 40 มิลลิกรัม ซากแมลงสาบสามตัว และแผ่นสไลด์จากกล้องจุลทรรศน์อีกหลายสิบแผ่น อาร์อาร์ออกชันคาดว่าจะได้เงินจากการประมูลรายการนี้กว่าสิบล้านบาทเลยทีเดียว

ซากแมลงสาบสามตัวจากการทดลองกับฝุ่นดวงจันทร์ (จาก RR Auction)

องค์การนาซาได้ติดต่อไปยังอาร์อาร์ออกชันเพื่อแจ้งให้ยุติการประมูลในทันที เพราะตามกฎหมาย ตัวอย่างทุกชิ้นจากดวงจันทร์ที่นำกลับมาโดยภารกิจอะพอลโลถือเป็นสมบัติของชาติ ห้ามบุคคลหรือแม้แต่มหาวิทยาลัยใดครอบครองหรือซื้อขาย และแน่นอนว่า ไม่มีสิทธิ์นำออกประมูลด้วย

ความคืบหน้าล่าสุด ทนายความของอาร์อาร์ออกชันได้แจ้งว่าบริษัทจะยินยอมทำตามข้อเรียกร้องของนาซาแต่โดยดี

สะพานข้ามแม่น้ำทะเลสาบ สะพานราชวงศ์หมิงอายุ 400 ปีถูกค้นพบขณะที่ประเทศจีนกำลังเจอสภาวะวิกฤตความแห้งแล้ง


สะพานข้ามแม่น้ำทะเลสาบ สะพานราชวงศ์หมิงอายุ 400 ปีถูกค้นพบขณะที่ประเทศจีนกำลังเจอสภาวะวิกฤตความแห้งแล้งจากภาวะโลกแปรปรวนขณะที่คลื่นความร้อนถาโถม  เข้ามาทำให้น้ำในทะเลสาบเหือดแห้งลงและเผยให้เห็นสะพานโบราณสมัยราชวงศ์หมิงอายุ 400 ปีผุดโผล่พ้นน้ำขึ้นมาให้เห็น เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง


สะพานหินโบราณทอดยาวไปกลาง ทะเลสาบจีนที่น้ำเหือดแห้ง แห้งแล้ง ตามภาพเลยครับ

ขณะนี้สภาวะโลกแปรปรวนทำให้ระบบธรรมชาติของโลกวิปริตผิดธรรมชาติไปหมดบางประเทศก็น้ำท่วมอย่างหนักหน่วงบางพื้นที่ที่อากาศหนาวก็กลับกลายเป็นร้อนแม่น้ำลำคลองแห้งแล้งไปหมด

จะทำยังไงได้ล่ะครับเพราะว่ามนุษย์นี่แหละคือต้นเหตุที่ทำให้สภาวะอากาศเป็นแบบนี้เรามาเข้าข่าวสะพานโบราณของจีนกันเลยดีกว่านะครับ


รายละเอียด
👉🏿สะพานพันตา สะพานโบราณใต้น้ำยาว 2,657 เมตร สมัยราชวงศ์หมิง ผุดพ้นทะเลสาบโผหยาง 
เหตุจีนเจอวิกฤตแห้งแล้ง สำนักข่าวจีนรายงาน ประเทศจีนกำลังเผชิญคลื่นความร้อนรุนแรงที่สุดในรอบ 60 ปี หลาย 10 เมืองมีอุณหภูมิทะลุ 40 องศาเซลเซียส เช่น เขตเป่ยเป่ยในฉงชิ่ง
👉🏿รายงานว่ามีอุณหภูมิสูงถึง 45°C ในขณะที่เสฉวนก็มีอุณหภูมิสูงถึง 43.8°C เป็นระยะเวลา 41 วันติดต่อกันแล้ว


👉🏾ล่าสุด ทะเลสาบโผหยาง เคยถูกเรียกว่าทะเลสาบเผิงหลี่ (彭蠡澤) ในอดีต ตั้งอยู่ในจิ่วเจียง มณฑลเจียงซี เป็นแหล่งน้ำจืดใหญ่ที่สุดของจีนอยู่ที่ 14.01 เมตร พื้นน้ำทะเลสาบอยู่ที่ 3,331 ตารางกิโลเมตร ประสบภัยแล้ง 
ระดับน้ำของทะเลสาบลดลงอย่างต่อเนื่องจนเกิดภาวะน้ำแห้งขอด เหลือเพียง 600 ตารางกิโลเมตร และเข้าสู่ฤดูแล้งก่อนกำหนดในวันที่ 4 สิงหาคมทำให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยว สามารถลงไปเดินในทะเลสาบแห่งนี้ได้อย่างสบาย ๆ 

😁แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดในการเกิดน้ำแห้งขอด คือ การปรากฏของสะพานเฉียนเหยียนหรือ สะพานพันตา ที่เป็นสะพานหินโบราณ มีความยาว 2,657 เมตร และได้ชื่อว่าเป็นสะพานหินที่ยาวที่สุดในทอดข้ามทะเลสาบในประเทศจีน


😱โดยสะพานเฉียนเหยียน ตั้งอยู่ในน่านน้ำของเขตเมืองดูโอเป่า เทศมณฑลตูชาง บรรจบถึงทะเลสาบโผหยาง 
มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ 400 ปีสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง (ปี 1368-1644) ใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปี

👉🏿สะพานเฉียนเหยียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญภายใต้การคุ้มครองในมณฑลเจียงซี สร้างขึ้นจากหินแกรนิต แต่ละท่าสร้างด้วยไม้สนประมาณ 10 ต้น ซึ่งมีรู 983 ช่อง เพื่อระบายน้ำในสมัยโบราณกลายเป็นที่มาของชื่อสะพานพันตา


สะพานเฉียนเหยียนมักจะจมอยู่ใต้น้ำ จะโผล่ออกมาจากน้ำเมื่อระดับน้ำของทะเลสาบโผยางต่ำกว่า 10.5 เมตร ในปี 2559 หน่วยงานท้องถิ่นได้จัดสรรกองทุนพิเศษจำนวน 900,000 หยวน สำหรับการบูรณะสะพาน อย่างไรก็ตาม กรมอุตุนิยมวิทยาจิ่วเจียงคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในท้องถิ่นในเดือนกันยายนจะต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และคาดว่าภัยแล้งจะดำเนินต่อไป


เข้ากับสุภาษิตไทยโบราณเลยนะครับที่ว่า น้ำลด ตอผุด แต่นี่คือ น้ำลด สะพานผุด

เปิดตำนานสะพานมาร์โก โปโล หรือ สะพานหลูโกวสะพานหินโค้งที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงปักกิ่งและเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2

เปิดตำนานสะพานมาร์โก โปโล หรือ สะพานหลูโกวสะพานหินโค้งที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงปักกิ่งและเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 

วันนี้ได้รวบรวมเรียบเรียงบทความเรื่องสะพานหินโบราณของจีน บทความนี้เป็นบทความที่ 2 แล้วนะครับสำหรับเรื่องสะพานหินโบราณของจีน

ในความเป็นจริงแล้วประเทศจีนมีประวัติศาสตร์ที่น่าค้นหามากมายและวัตถุโบราณหรือสถานที่ราชวังโบราณต่างๆของจีนนั้นก็ยังอยู่ในสภาพที่ดีอนุรักษ์ไว้สมบูรณ์ดีมากๆไม่ว่าจะเป็นพระราชวังหรือพิพิธภัณฑ์หุ่นรูปปั้นนักรบหิน แม้แต่สะพานหินโบราณจีนก็อนุรักษ์และบูรณะได้ดีมากๆแต่ฟอสซิลโบราณของไดโนเสาร์ต่างๆที่นักวิทยาศาสตร์นักวิจัยจีนขุดพบก็น่าสนใจมากๆ

ประวัติและที่มาของชื่อสะพานมาร์โก โปโล หรือ สะพานหลูโกว

👉🏾สะพานมาร์โก โปโล หรือ สะพานหลูโกว (อังกฤษ: Marco Polo Bridge, Lugou Bridge; จีนตัวย่อ: 卢沟桥; จีนตัวเต็ม: 盧溝橋; พินอิน: Lúgōu Qiáo) เป็นสะพานหินโค้งเชื่อมต่อที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงปักกิ่ง

เป็นสะพานข้ามแม่น้ำหย่งติ้ง (永定河; ปัจจุบันแม่น้ำแห่งนี้ได้เหือดแห้งไปหมดแล้ว) ตั้งในเขตเฟิงไถ (丰台区) ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปักกิ่ง ห่างจากใจกลางเมืองประมาณ 15 กิโลเมตร

🙄เริ่มสร้างในสมัยจักรพรรดิจินซีจง ในยุคราชวงศ์จิน (ค.ศ. 1189) ได้รับการบูรณะซ่อมแซมในสมัยราชวงศ์หมิง หลังได้รับความเสียหายจากอุทกภัยก็มีการบูรณะใหม่อีกครั้งในสมัยจักรพรรดิคังซี แห่งราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1698)

👉🏾โดยที่มาของชื่อ มาจากมาร์โก โปโล นักเดินทางชาวอิตาเลียนในศตวรรษที่ 13 ที่ได้เดินทางมายังประเทศจีนในขณะนั้น และได้พรรณาถึงความงามของสะพานแห่งนี้จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก

ข้อมูลเบื้องต้น สะพานหลูโกว 盧溝橋, พิกัดภูมิศาสตร์ ...

👉🏿สะพานมาร์โก โปโลมีความยาว 266.5 เมตร กว้าง 7.5 เมตร ประกอบด้วยตอม่อหิน 11 ต้น และช่องโค้งใต้สะพาน 11 ช่อง ตัวสะพานทั้งหมดทำด้วยแท่งหิน โดยใช้ตะขอเงินเชื่อมต่อในจุดที่สำคัญ นับว่าเป็นสะพานหินโบราณที่ยาวที่ในพื้นที่ภาคเหนือของจีน

👉🏿บนราวสะพานจะมีการแกะสลักหินเป็นลวดลายที่วิจิตรงดงาม และสิงโตหินแกะสลักที่ขึงขังอยู่เต็มราวสะพาน นับได้ว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างโบราณที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปะอย่างยิ่ง 

ภาพสะพานมาร์โก โปโลในอดีต

😱ในด้านประวัติศาสตร์ สะพานมาร์โก โปโลยังเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ที่กินระยะเวลายาวนานกว่า 8 ปี โดยเริ่มต้นจากปืนที่ทหารแห่งกองทัพคณะปฏิวัติแห่งชาติจีนยิงใส่ทหารแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1937 ซึ่งเหตุการณ์นี้เรียกว่า "เหตุการณ์สะพานมาร์โก โปโล" (盧溝橋事變)

0

 

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2565

สาวเมกัน "แพ้แรงโน้มถ่วงโลก" ป่วยติดเตียง เผยเป็นลมวันละ 10 รอบ ยืนได้ 3 นาที! เป็นลมเป็นแล้งวันละ 10 รอบ


โลกเรานี้นับวันจะมีโรคภัยไข้เจ็บที่แปลกๆโดยเฉพาะข่าวนี้นะครับเป็นข่าวจากต่างประเทศที่ว่า
สาวเมกัน "แพ้แรงโน้มถ่วงโลก" ป่วยติดเตียง เผยเป็นลมวันละ 10 รอบ ยืนได้ 3 นาที! เป็นลมเป็นแล้งวันละ 10 รอบยืนได้ 3 นาทีสุดท้ายก็ต้องนอนติดเตียงเพราะแพ้แรงโน้มถ่วงของโลกมันเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้นะครับทันสมัยเหลือเกิน


"ฉันแพ้แรงโน้มถ่วงโลกค่ะ มันอาจจะฟังดูบ้านะคะ แต่เป็นเรื่องจริง" นางสาวจอห์นสัน กล่าว , "ฉันยืนนานกว่า 3 นาทีโดยที่ไม่เป็นลมไม่ได้เลยค่ะ" , "ต้องอยู่บนเตียงทั้งวัน สูงสุดวันละ 23 ชั่วโมง"

ผู้สื่อข่าวต่างประเทศรายงานว่า นางสาวลินด์ซี จอห์นสัน จากเมืองแบงกอร์ รัฐเมน ของสหรัฐ วัย 28 ปี เผยว่าตนแพ้แรงโน้มถ่วงของโลก จนทำให้ป่วยและเป็นลมวันละหลายครั้ง หญิงรายนี้อ้างว่าตนยืนนานกว่า 3 นาทีไม่ได้ และถ้ายืนนานกว่านั้นก็เป็นลม และต้องพึ่งพาสามีของตนในการทำสิ่งพื้นฐานต่างๆ ในชีวิต เพราะใช้ชีวิตบนเตียงถึง 23 ชั่วโมงต่อวัน


นางสาวจอห์นสันเคยเป็นทหารช่างของกองทัพเรือ แต่เมื่อล้มป่วยเมื่อปี 2561 ก็ไปพบแพทย์มาหลายคนเพื่อหาคำตอบว่าเป็นอะไร จนกระทั่งมีแพทย์วินิจฉัยเมื่อช่งที่ผ่านมาของปีนี้ว่ามีอาการหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติจาการทรงตัว ที่ทำให้มึนศีรษะหรือเป็นลมในที่สุด


ภาวะดังกล่าวนั้นวินิจฉัยได้ยากมาก แต่ในสหราอาณาจักรและสหรัฐก็มีผู้มีอาการเหล่านี้จำนวนเช่นกันถึง 1 ใน 100 คน แต่อาการที่รุนแรงอย่างที่นางสาวจอห์นสันเป็นอยู่นั้นหาได้ยากกว่ามาก

"ฉันแพ้แรงโน้มถ่วงโลกค่ะ มันอาจจะฟังดูบ้านะคะ แต่เป็นเรื่องจริง" นางสาวจอห์นสัน กล่าว , "ฉันยืนนานกว่า 3 นาทีโดยที่ไม่เป็นลมไม่ได้เลยค่ะ" , "ต้องอยู่บนเตียงทั้งวัน สูงสุดวันละ 23 ชั่วโมง"
    
แพทย์เชื่อว่าอาการของนางสาวจอห์นสันเป็นอยู่นี้ไม่ใช่อาการแพ้แรงโน้มถ่วงของโลก แต่เป็นปฏิกิริยาของร่งกายที่ตอบสนองต่อสารชนิดหนึ่งในระบบภูมิคุ้มกันร่างกายมากเกินไป


ส่วนนางสาวจอห์นสันเริ่มมีอาการนี้ระหว่างไปปฏิบัติภารกิจทางทหารในต่างประเทศศเเมื่อปี 2558 ต่อมาในปีเดียวกัน อาการปวดก็รุนแรงขึ้น ทั้งยังเริ่มอาเจียนออกมาบ่อยครั้ง และจนถึงขณะนี้แพทย์ก็ยังตอบไม่ได้ว่าอะไรเป็นสาหตุของโรคดังกล่าว

สาระเพิ่มเติม
ความโน้มถ่วง (อังกฤษ: gravity) เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติซึ่งทำให้วัตถุกายภาพทั้งหมดดึงดูดเข้าหากัน ความโน้มถ่วงทำให้วัตถุกายภาพมีน้ำหนักและทำให้วัตถุตกสู่พื้นเมื่อปล่อย แรงโน้มถ่วงเป็นหนึ่งในสี่แรงหลัก ซึ่งประกอบด้วย แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน และ แรงนิวเคลียร์แบบเข้ม ในจำนวนแรงทั้งสี่แรงหลัก แรงโน้มถ่วงมีค่าน้อยที่สุด ถึงแม้ว่าแรงโน้มถ่วงจะเป็นแรงที่เราไม่สามารถรับรู้ได้มากนักเพราะความเบาบางของแรงที่กระทำต่อเรา แต่ก็เป็นแรงเดียวที่ยึดเหนี่ยวเราไว้กับพื้นโลก แรงโน้มถ่วงมีความแรงแปรผันตรงกับมวล และแปรผกผันกับระยะทางยกกำลังสอง ไม่มีการลดทอนหรือถูกดูดซับเนื่องจากมวลใด ๆ ทำให้แรงโน้มถ่วงเป็นแรงที่สำคัญมากในการยึดเหนี่ยวเอกภพไว้ด้วยกัน


ความโน้มถ่วงทำให้ดาวเคราะห์ต่าง ๆ ยังคงหมุนรอบดวงอาทิตย์ ไม่หลุดออกจากวงโคจร (ภาพไม่เป็นไปตามอัตราส่วน)
นอกเหนือจากความโน้มถ่วงที่เกิดระหว่างมวลแล้ว ความโน้มถ่วงยังสามารถเกิดขึ้นได้จากการที่เราเปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่ตามกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน เช่น การเพิ่มหรือลดความเร็วของวัตถุ การเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ เป็นต้น

รายการบล็อกของฉัน