หน้าเว็บ

Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2565

คุณรู้ไหมว่าจุดศูนย์กลางโลกอยู่ที่ไหน


คุณรู้ไหมว่าจุดศูนย์กลางโลกอยู่ที่ไหนมีหลากหลายที่ออกมาขัดแย้งกันแต่ผมจะเอาข้อมูลที่เป็นข้อมูลล่าสุดที่มีอยู่ใน google มานำเสนอนะครับ

แต่ยังมีข้อมูลอีกข้อมูลหนึ่งที่ขัดแย้งหรือว่าเป็นข้อมูลล่าสุดที่ว่าค้นพบความจริงที่ว่า กะอฺบะอฺ เป็นศูนย์กลางของโลก
แต่จะเป็นอย่างไรก็ตามผมได้เอาข้อมูลทั้งสองข้อมูลมาเรียบเรียงให้คุณได้ลองอ่านดูและเปรียบเทียบ


จุดศูนย์กลางโลก
จุดศูนย์กลางของโลกตั้งอยู่ในเขตจังหวัด Pichincha ประเทศเอกวาดอร์ ซึ่งห่างไปทางเหนือของกีโต้ เมืองหลวงของประเทศเอกวาดอร์ประมาณ 26 กิโลเมตร


เอกวาดอร์เป็นการท่องเที่ยวเชิงวิชาภูมิศาตร์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ประเทศนี้มีความหลายหลากของธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบมาก 
มีทั้งป่าอะเมซอน หมู่เกาะกัลละปากอส ภูเขาสูง น้ำพุร้อน และที่สุดคือ "จุดศูนย์กลางของโลก” หรือภาษาสเปนคือ สำนักงานในบริเวณมิวเซียมมิตาดเดลลูน่า (Cludad Mitad del Mundo) หรือ Middle of the World City

เส้นศูนย์สูตรเป็นเส้นสมมติที่วาดลงบนแผนที่เพื่อแบ่งโลกออกเป็นด้านเหนือและใต้ ปี 1744 นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส และเอกวาดอร์ ได้ทำการคำนวณอย่างละเอียดและได้สร้างอนุสาวรีย์เส้นศูนย์สูตรขึ้น ณ จุดที่ 

ห่างจากเมืองหลวงของเอกวาดอร์ 24 กม. อนุสาวรีย์สูง 10 เมตร ด้านบนตั้งลูกโลกที่วาดเส้นขาว สมมติเป็นเส้นศูนย์สูตร่ไว้เส้นหนึ่ง อนุสาวรีย์ทั้ง 4 ด้านแสดงถึงทิศเหนือ ใต้ ออก ตก และเขียนกำกับด้านหน้าว่า "นี่คือจุดศูนย์กลางโลก"


ยืนบนซีกโลกทั้ง 2 แห่งในเวลาเดียวกัน ณ อนุสาวรีย์ที่มีสัญลักษณ์เส้นศูนย์สูตร แล้วไปเที่ยวชมหอดูดาวและพิพิธภัณฑ์ข้างเคียง

แม้ว่ากีโตไม่ใช่เมืองเดียวที่ตั้งอยู่บนเส้นศูนย์สูตร แต่ Mitad del Mundo (อนุสาวรีย์กลางโลก) ทำให้ที่นี่เป็นเมืองบน 2 ซีกโลกที่มีชื่อเสียงที่สุด อนุสาวรีย์สร้างขึ้นบนสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ 

ซึ่งนักสำรวจชาวฝรั่งเศสคิดคำนวณเส้นศูนย์สูตรในปี 1736 เยี่ยมชมอนุสาวรีย์สูง 30 เมตร และเหยียบซีกโลกเหนือและใต้ในเวลาเดียวกันพบกับอนุสรณ์สถานขนาดมหึมาที่สร้างขึ้นเพื่อยกย่องเส้นศูนย์สูตรและผลงานการคำนวณที่เกี่ยวข้อง 


แล้วลองเดินไปตามเส้นสีที่เป็นเครื่องหมายแทนเส้นศูนย์สูตร แม้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้พบว่าเส้นศูนย์สูตรจริงตั้งอยู่ห่างจากเส้นนี้ไปทางทิศเหนือประมาณ 240 เมตร แต่อนุสาวรีย์ยังคงเป็นสัญลักษณ์ที่น่าสนใจของซีกโลกทั้ง 2 ซีก เดินไปตามเส้นสัญลักษณ์และถ่ายภาพตัวเองกำลังยืนอยู่กลางโลก ขึ้นลิฟต์ไปยังยอดอนุสาวรีย์และชมทิวทัศน์กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาของซีกโลกเหนือและใต้

ภายในบริเวณอนุสาวรีย์ คุณจะพบหมู่บ้านบนเส้นศูนย์สูตร ซึ่งเป็นโมเดลขนาดเล็กที่จำลองเมืองกีโตยุคอาณานิคมสเปน ประกอบด้วยบ้านเรือน โบสถ์ และสังเวียนกระทิง เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วรรณาและหอดูดาว เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชนพื้นเมือง ยุคอาณานิคม และที่ตั้งของเอกวาดอร์บนแผนที่โลก...


แต่ยังมีอีกข้อมูลหนึ่งที่อ้างว่าจุดศูนย์กลางของโลกอยู่ที่
กะอฺบะอฺ เป็นศูนย์กลางของโลก นักวิทย์ค้นพบแล้ว!ศูนย์วิจัยทางดาราศาสตร์และอวกาศ ในกรุงไคโร ได้ตีพิมพ์ผลการวิจัย ของศาสตราจารย์ ฮุสเซน กาเมล นักวิชาการชาวอียิปต์ ที่ค้นพบความจริงที่ว่า กะอฺบะอฺ เป็นศูนย์กลางของโลก

ศ.ฮุสเซน เริ่มจากการกำหนดทิศทางกิบลัตจากเมืองใหญ่หลายแห่งในโลก โดยการวาดเส้นบนแผนที่ใหม่นั้น หลังจากนั้นเขาก็สังเกตเห็นถึง ตำแหน่งและระยะทางทั้งหมดในแต่ละทวีปที่พุ่งตรงไปยังนครมักกะฮ์ที่เรียงตามลำดับ หลังจากนั้น เขาพยายามขีดเส้นขนานเพื่อหาแนวเส้นแวง และเส้นละติจูด ซึ่งผลของมันทำให้เขาประหลาดใจว่า มักกะฮ์คือจุดกึ่งกลางของโลก

นอกเหนือจากผลการวิจัยของ ศ.ฮุสเซน แล้ว ยังมีการเปิดเผยการค้นพบของ นีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศคนแรกที่เดินทางไปเหยียบดวงจันทร์ ซึ่งสนับสนุนการค้นพบของ ศ.ฮุสเซน โดยหลังจากกลับมายังพื้นผิวโลก นีล อาร์มสตรอง ได้นำการค้นพบของเขามาตรวจสอบด้วยการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ 

โดยเขาระบุว่า เมื่อเขาอยู่ในอวกาศ เขามองลงมาและเห็น กะอฺบะอฺ เปล่งแสงรัศมีสว่างสุกใส แต่น่าเสียดายที่การค้นพบที่เปิดเผยผ่านเว็ปไซท์ทางการ ถูกลบไปหลังจากโพสท์ได้เพียง 21 วัน...

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ตำนานอินคิวบัส ปิศาจเพศผู้ ยั่วสวาท ปิศาจเพศผู้จะเข้ามาร่วมหลับนอนกับสตรีในยามหลับใหลแถมยังดูดวิญญาณของเหยื่ออีกด้วย

😱ตำนานอินคิวบัส ปิศาจเพศผู้ ยั่วสวาท
ปิศาจเพศผู้จะเข้ามาร่วมหลับนอนกับสตรีในยามหลับใหลแถมยังดูดวิญญาณของเหยื่ออีกด้วย

😄เมื่อวานนี้ผมนำเสนอปีศาจเพศหญิงที่เข้ามายั่วยวนและล่อลวงเพื่อสังวาสกับผู้ชาย ซักคิวบัส ปิศาจผู้หญิงมีท่อนบนงดงามยั่วยวน ช่วงล่างที่เป็นแพะ และ ปีกเหมือนค้างคาว มีนิสัยล่อลวงผู้ชายให้ มาเสพสังวาส

👉🏿เพื่อไม่ให้เสียเปรียบวันนี้ก็เลยนำเสนอปีศาจอีกตัวนึงที่เป็นผู้ชายนะครับ มีพฤติกรรมเหมือนหรือคล้ายๆกับ ซักคิวบัส ปิศาจผู้หญิง แต่ปีศาจผู้ชายตนนี้ชื่อว่า incubus เป็นปิศาจเพศผู้

ซึ่งเชื่อกันว่าจะเข้ามาร่วมหลับนอนกับสตรีในยามหลับใหลเพื่อสังวาสด้วยจนสตรีที่โดนร่วมหลับนอนนั้น จะทำให้สตรีเคลิบเคลิ้ม เสียวสะท้าน หรือ คลั่งไคล้ หลงไหล รสสวาทของ Incubus ปีศาจ ตนนี้ จนเป็น บ้า เป็นหลัง หรือ อาจหมดแรงแห้งตายได้ คล้ายๆกับพฤติกรรมของ ซักคิวบัส ปิศาจผู้หญิง

😄เข้ารายละเอียดกันเลยดีกว่านะครับ

อินคิวบัส ปิศาจเพศผู้ ยั่วสวาท
(อังกฤษ: incubus (เอกพจน์) หรือ incubi (พหูพจน์)) เป็นชื่อปิศาจเพศผู้ซึ่งเชื่อกันว่าจะเข้ามาร่วมหลับนอนกับสตรีในยามหลับใหลเพื่อสังวาสด้วย

คล้ายปิศาจที่เป็นหญิงและมีพฤติกรรมทำนองเดียวกันนั้นเรียก ซักคิวบัส (succubus)

Incubus, 1870

👉🏿ในความเชื่อของบางท้องที่ เช่น ตามตำนานเมอร์ลิน (Merlin)

อินคิวบัสร่วมประเวณีกับหญิงก็เพื่อให้หญิงนั้นมีบุตร ความเชื่อทางศาสนามีว่า ถ้าร่วมประเวณีกับอินคิวบัสบ่อยครั้งไม่บันยะบันยัง หรือว่าหักโหม ไม่มีการหยุดพัก 3-4 เกมล์รวดต่อคืน..สตรีนางนั้น อาจส่งผลให้สุขภาพย่ำแย่ และอาจถึงตายได้ 

และยังมีความเชื่อว่า อินคิวบัส ดูดวิญญาณของเหยื่อเมื่อร่วมหลับนอนกับเหยื่อ ยิ่งร่วมหลับนอนกับสตรีนางใดมากๆสตรีนางนั้นก็จะผอมแห้งแรงน้อยและอาจจะหมดเรียวแรง ตายได้

😱เออเวรกรรม..อินคิวบัส ปีศาจผู้ชายตนนี้มันร้ายมากเลยนะครับ ร่วมหลับนอนกับผู้หญิงแล้วอย่างไม่บันยะบันอย่างแถมยังดูดวิญญาณของผู้หญิงอีก ความเลวร้ายมันไม่ต่างกับซักคิวบัส ปิศาจผู้หญิงเลยนะครับ

🙄เรื่องนี้อาจจะเป็นตำนานที่เล่าขานต่อๆกันมาในต่างประเทศหรืออาจจะเป็นกุศโลบายเพื่อจะสอนให้ผู้หญิงรักมวลสงวนตัว...เกรงกลัว ก็ได้นะครับสำหรับคนโบราณก็อาจจะใช้ตำนานหรือความเชื่อในการหล่อหลอม ปลูกฝังแล้วก็โยงไปถึงความเชื่อทางศาสนา ก็อาจจะเป็นไปได้นะครับตามสมมุติฐานนี้

🥰เป็นยังไงบ้างครับอ่านมาจนจบบรรทัดสุดท้ายสำหรับผู้หญิงคงจะชอบปีศาจผู้ชายนะครับ อินคิวบัส ปิศาจเพศผู้ ยั่วสวาท แน่นอนอยู่แล้วหล่อด้วยล่ำบึกเลย..แถมลีลารสสวาท น่าจะเร่าร้อนด้วยนะครับดูท่าทางแล้ว😁

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ซักคิวบัส ปิศาจผู้หญิงมีท่อนบนงดงามยั่วยวน ช่วงล่างที่เป็นแพะ และ ปีกเหมือนค้างคาว มีนิสัยล่อลวงผู้ชายให้ มาเสพสังวาส

🙄ซักคิวบัส ปิศาจผู้หญิงมีท่อนบนงดงามยั่วยวน ช่วงล่างที่เป็นแพะ และ ปีกเหมือนค้างคาว มีนิสัยล่อลวงผู้ชายให้ มาเสพสังวาส



👉🏾ซักคิวบัส  ปีศาจผู้หญิงนี้ มีทั้งฝั่งอังกฤษและ ฝั่งอาหรับมีความคล้ายคลึงกัน...
เป็นปีศาจผู้หญิงที่มีท่อนบนยั่วยวนงดงามปทุมถันแกว่งไกว ห้อยโทงเทง ยั่วยวนผู้ชาย ...และเป็นปิศาจสตรีที่ปรากฏตัวในความฝันด้วยรูปมนุษย์สตรีเพื่อล่อลวงบุรุษให้สังวาส ผสมพันธ์กับนาง

ซักคิวบัส หรือ อิสชากาดิชา มีลักษณะคล้ายคลึงกันบ้างประการแม้รูปร่างอาจไม่เหมือนกันลักษณะนิสัยล่อลวงผู้ชายผู้มาเสพสังวาสนั้นคล้ายๆกัน

ซักคิวบัส 

(อังกฤษ: succubus (เอกพจน์) หรือ succubi (พหูพจน์)) เป็นชื่อปิศาจสตรีที่ปรากฏตัวในความฝันด้วยรูปมนุษย์สตรีเพื่อล่อลวงบุรุษให้สังวาสกับนาง ปิศาจที่เป็นชายและมีพฤติกรรมทำนองเดียวกันเรียก "อินคิวบัส" (incubus)

😱ความเชื่อทางศาสนามีว่า ถ้าร่วมประเวณีกับนางซักคิวบัสบ่อยครั้ง อาจส่งผลให้สุขภาพย่ำแย่ และอาจถึงตายได้ ในนวนิยายสมัยปัจจุบัน นางซักคิวบัสอาจปรากฏมาในความฝันหรือไม่ก็ได้ และมักมีรูปโฉมโนมพรรณงดงามและยั่วยวน ต่างจากในสมัยโบราณที่แสดงรูปของนางซักคิวบัสไว้น่าเกลียดน่ากลัวอย่างปิศาจโดยแท้

👉🏾ในโมร็อกโกและประเทศอื่นในแอฟริกาเหนือ มีปิศาจที่คล้ายคลึงกันเรียกว่า "อิสชากาดิชา" (Aisha Kandisha; อาหรับ: عيشة قنديشة‎, ʿĀʾisha Qandīsha)

👉🏿Aisha Kandisha เป็นปิศาจผู้หญิงที่มีท่อนบนงดงามยั่วยวน  เชื่อว่าอาศัยอยู่ในที่รกร้างหรือกลางทะเลทราย เช่น เทือกเขาแอตลาส อิสชากาดิชา จะทำให้ผู้ชายหลงใหลเคลิบเคลิ้ม และท้ายสุดจะเป็นบ้าเสียสติ หรืออาจถึงตายได้

🙄ทั้งนี้มีพยานเป็นชาวพื้นเมืองกลางทะเลทรายบอกว่า เคยเห็นอิสชากาดิชาในเวลากลางคืน เชื่อว่า หากได้ยินเสียงโซ่ลากพื้นหรือเสียงเหมือนอูฐเดินในเวลากลางคืน นั่นคือ อิสชากาดิชา

😬ก่อนจะจบบทความนี้ผมรู้สึกว่า
ซักคิวบัส ปีศาจผู้หญิงตนนี้คงจะมีเสน่ห์ยั่วยวนมากเลยนะครับ ขนาดท่อนบนเป็นผู้หญิงท่อนล่างเป็นแพะ แถมมีปีกข้างหลังเป็นค้างคาว พูดตามตรงมันอาจจะเป็นปีศาจที่ดูแล้วมันอุบาทว์มากๆเลยนะครับถึงจะสวยขนาดไหนยั่วยวนขนาดไหนมันก็ไม่ไหวแล้วอย่างนี้..

👉🏾คงจะมีผู้ชายที่หน้ามืดตามัวเข้าไปผสมพันธุ์เสพสังวาสกับนางปีศาจตนนี้ มากมายอาจจะเป็นเพราะโดนมนต์เสน่ห์หรือมนต์สะกดของปีศาจผู้หญิงตนนี้ก็เป็นได้ถึงกับทำให้ผู้ชายหลงใหลเคลิบเคลิ้ม และท้ายสุดจะเป็นบ้าเสียสติ หรืออาจถึงตายได้

😄สุดท้ายมันอาจจะเป็นแค่ตำนานที่เล่าขานต่อๆกันมา แต่งเติมเสริมแต่ง จนเป็นเรื่องเป็นราว จินตนาการเพ้อฝัน จนกลายเป็นปีศาจผู้หญิงที่มีสัตว์หลายสายพันธุ์ผสมอยู่ในร่างเดียวกัน เราก็อย่าไปคิดอะไรมากมายอ่านเพื่อความสนุกถือว่าเป็นความรู้ก็แล้วกัน

 

Ragnarǫk ชุดคำทำนายปริศนาเหตุการณ์ในอนาคต สงครามครั้งใหญ่ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ แผ่นดินจมลงใต้สมุทร และกลับมาอุดมสมบูรณ์ อีกครั้ง


Ragnarǫk ชุดคำทำนายปริศนาเหตุการณ์ในอนาคต สงครามครั้งใหญ่ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ แผ่นดินจมลงใต้สมุทร และกลับมาอุดมสมบูรณ์ อีกครั้ง


🙄Ragnarǫk น่าจะเป็นคำทำนายของคนโบราณในยุคสมัยศตวรรษที่ 13  เหตุการณ์นี้ปรากฏครั้งแรกใน ร้อยแก้วเอ็ดดา (Poetic Edda) ซึ่งแปลในคริสต์ศตวรรษที่ 13 จากบันทึกโบราณเขียนขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ในเอกสารทั้งสองฉบับเรียกเหตุการณ์นี้เป็นภาษานอร์สโบราณว่า Ragnarök หรือ Ragnarøkkr มีความหมายว่า "เทวชะตา" หรือ "เทวาอัสดง"

อาจจะเป็นคำทำนายที่จะต้องมาตีความหมายปริศนา คล้ายๆกับคำทำนายของ นอสตราดามุส อะไรอย่างนั้นล่ะครับ..

แต่คำทำนายของคนโบราณต่างๆก็ล้วนแต่มีความหมายคล้ายคลึงกัน...ที่ว่าจะเกิดสงคราม...น้ำทะเลจะท่วมโลก..คนจะตายมากมาย...ความหมายมันก็เป็นแบบเดียวกัน...นักทำนายหลายๆคนก็สะท้อนความหมายออกมาคล้ายๆกันแล้วแต่ใครจะตีความไปในแนวไหน


👉🏿ในเทวตำนานนอร์ส รักนาร็อก (นอร์สเก่า: Ragnarǫk) หรือ แรกนะร็อก (อังกฤษ: Ragnarok) เป็นชุดเหตุการณ์ในอนาคต ประกอบด้วย สงครามครั้งใหญ่ตามคำทำนาย

👉🏿ซึ่งนำไปสู่การสิ้นชีพของทวยเทพที่สำคัญ บังเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ แผ่นดินจมลงใต้สมุทร ต่อจากนั้น แผ่นดินจะผุดขึ้นจากทะเลอีกครั้ง และกลับมาอุดมสมบูรณ์ 

👉🏿ทวยเทพที่รอดชีวิตและทวยเทพผู้กลับมาจากความตายจะมาพบกันอีกครั้ง มนุษย์สองคนที่เหลือรอดจะให้กำเนิดพลเมืองมนุษย์ รักนาร็อกเป็นเหตุการณ์สำคัญในทางความเชื่อและศาสนาของนอร์ส และเป็นหัวข้อของวจนิพนธ์ทางวิชาการและทฤษฎี


🙄เหตุการณ์นี้ปรากฏครั้งแรกใน ร้อยแก้วเอ็ดดา (Poetic Edda) ซึ่งแปลในคริสต์ศตวรรษที่ 13 จากบันทึกโบราณและ Prose Edda ซึ่งเขียนขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ในเอกสารทั้งสองฉบับเรียกเหตุการณ์นี้เป็นภาษานอร์สโบราณว่า Ragnarök หรือ Ragnarøkkr มีความหมายว่า "เทวชะตา" หรือ "เทวาอัสดง" ตามลำดับ 


คำนี้ถูกคีตกวีชาวเยอรมัน ริชชาร์ท วากเนอร์ แปลเป็นภาษาเยอรมันว่า Götterdammerung ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของในอุปรากร แหวนของนีเบอลุง

👉🏿นิรุกติศาสตร์
คำว่า Ragnarök ในภาษานอร์สโบราณเป็นคำผสมจากคำสองคำ คำแรกคือ ragna คำแสดงความเป็นเจ้าของในรูปพหูพจน์ของคำ regin (แปลว่า "เทพเจ้า" หรือ "พลังอำนาจ" คำที่สอง rök มีหลายความหมาย เช่น "การพัฒนา, แหล่งกำเนิด, สาเหตุ, ความสัมพันธ์, ชะตากรรม, สิ้นสุด" 


👉🏿การตีความแบบเดิมก่อนควบรวม /ǫ/ และ /ø/ ในภาษาไอซ์แลนด์ (ca. 1200) คำ rök มีรากคำมาจากคำในภาษาโปรโต-เจอร์แมนิก *rakō

คำว่า ragnarök เมื่อรวมคำแล้วมักตีความเป็น "เทวชะตา" ใน ค.ศ. 2007 Haraldur Bernharðsson เสนอว่าต้นกำเนิดของคำที่สองในคำผสมเป็น røk นำไปสู่การสร้างคำขึ้นใหม่ในภาษาโปรโต-เจอร์แมนิก *rekwa และเปิดไปสู่ความไปได้ในความหมายอื่นๆ

บทสรุปจากคำทำนายต่างๆตามตำราหรือปริศนาบทความบทบันทึกของคนโบราณหลายๆคนที่ตีความแล้วจะมีความหมายคล้ายๆกันนั่นก็คือจะเกิดสงคราม น้ำทะเลจะท่วมโลก   มนุษย์ล้มตาย มากมาย แล้วโลกก็จะกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้งแสดงว่าขณะนี้และเวลานี้โลกเราอยู่ในช่วงกลางของความเสื่อมสลายและกำลังจะล่มสลาย...อีกในไม่ช้า...

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2565

เผยภาพถ่ายที่มีชื่อว่า “Calvine Photograph”คือภาพถ่าย UFO ที่ชัดที่สุดในโลก เท่าที่เคยมีมา เป็นภาพที่ถูกถ่ายไว้เมื่อ 50 ปีที่แล้ว

😱เผยภาพถ่ายที่มีชื่อว่า “Calvine Photograph”คือภาพถ่าย UFO ที่ชัดที่สุดในโลก เท่าที่เคยมีมา เป็นภาพที่ถูกถ่ายไว้เมื่อ 50 ปีที่แล้ว

👉🏿นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ตอกย้ำให้เห็นว่า UFO มนุษย์ต่างดาวมีจริง ย้อนไปเมื่อ 50 ปีที่แล้วนักปีนเขา 2 คน ที่สังเกตเห็น และถ่ายภาพนี้ไว้ได้ ในบริเวณภูเขา สก็อตติช ไฮแลนด์ส (Scottish Highlands)

โดยภาพถ่ายนี้มีชื่อว่า “Calvine Photograph” ที่แสดงให้เห็นถึงวัตถุลึกลับรูปทรงคล้ายกับเพชรลอยอยู่บนท้องฟ้า ในขณะนั้นไม่มีวัตถุหรือเครื่องบินชนิดใดที่มีรูปทรงคล้ายกับเพชรเลยแสดงว่าวัตถุบินลึกลับนี้ไม่ใช่เครื่องบินบนโลกแน่นอน

ในภาพจะเห็นเครื่องบินขับไล่บินตามติดๆ ในช่วงสมัยเมื่อ 50 ปีที่แล้วนั้นมันแค่มีเครื่องบินก็ถือว่าทันสมัยที่สุดแล้วลองดูภาพประกอบด้วยนะครับ

ภาพวัตถุบินลึกลับ เหล่านี้เป็นปริศนาดำมืดที่ยังหาคำตอบไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน..

👉🏿ส่วนเจ้าของสำเนาภาพที่ถ่ายภาพไว้ และมี Craig Lindsay อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของกองทัพอากาศซึ่งเป็นคนเก็บสำเนาภาพถ่ายเอาไว้...ก็ออกมายืนยันด้วยตัวเองดูในภาพแล้วแก่มากแล้วนะครับคงจะรอวันตายในไม่ช้านี้แหละก็คงจะไม่โกหกหรอกครับ

ล่าสุด เผย “ภาพถ่าย UFO” ที่ชัดที่สุดในโลก “ภาพถ่าย UFO ที่ชัดที่สุด เท่าที่เคยมีมา” ซึ่งเป็นภาพที่ถูกถ่ายไว้เมื่อ 50 ปีที่แล้ว

🙄ล่าสุด ได้มีการเปิดเผย ภาพถ่าย UFO ที่ถูกถ่ายไว้เมื่อ 32 ปีที่แล้ว ซึ่งภาพถ่ายดังกล่าวเป็นของนักปีนเขา 2 คน ที่สังเกตเห็น และถ่ายภาพนี้ไว้ได้ ในบริเวณภูเขา สก็อตติช ไฮแลนด์ส (Scottish Highlands) โดยภาพถ่ายนี้มีชื่อว่า “Calvine Photograph” ที่แสดงให้เห็นถึงวัตถุลึกลับรูปทรงคล้ายกับเพชรลอยอยู่บนท้องฟ้า ในขณะที่มีเครื่องบินขับไล่บินประกบอยู่ ทำให้ภาพนี้กลายเป็น “ภาพถ่าย UFO ที่ชัดที่สุดในโลก” ที่ถูกเปิดเผยมาในปัจจุบัน

“ภาพถ่าย UFO ที่ชัดที่สุด เท่าที่เคยมีมา” ซึ่งเป็นภาพที่ถูกถ่ายไว้เมื่อ 50 ปีที่แล้ว

👉🏿เดิมทีภาพถ่ายนี้ถูกส่งมอบให้กับหนังสือพิมพ์เดลีเรกคอร์ด (Daily Record) ของสกอตแลนด์ ก่อนที่มันจะถูกส่งต่อไปยังกระทรวงกลาโหม แต่ก็ไม่เคยถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนมาก่อน ซึ่งได้มีการตรวจสอบแล้วว่ามันคือของจริง และไม่ได้มีการตกแต่งภาพแต่อย่างใด

ในปัจจุบัน ตัวตนของนักปีนเขา 2 คน ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ภาพดังกล่าวได้ถูกบันทึกไว้ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2533 ห่างจากเมืองเพิร์ธ (Perth) ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 35 ไมล์ ใกล้กับเมืองคาลไวน์ (Calvine) ของสกอตแลนด์

ดร.เดวิด คลาร์ก (Dr David Clarke) นักวิชาการและนักข่าว เพิ่งค้นพบภาพถ่ายดังกล่าวหลังจากการทำวิจัยอยู่หลายปี และเขาได้ติดต่อกับ เครก ลินด์เซย์ (Craig Lindsay) อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของกองทัพอากาศซึ่งเป็นคนเก็บสำเนาภาพถ่ายเอาไว้

ดร.เดวิด คลาร์ก (ทางขวา) ตามหาเครก ลินด์เซย์ อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวของกองทัพอากาศ

ตามรายงานระบุว่า นักปีนเขาได้เห็นวัตถุที่ไม่สามารถระบุได้ว่า มันคืออะไร ซึ่งมีความยาวประมาณ 100 ฟุต หรือประมาณ 30 เมตร ลอยอยู่ในอากาศประมาณ 10 นาที ก่อนที่จะเร่งความเร็วจนพุ่งหายไปในที่สุด

ภาพจำลองของ Calvine Photograph

ดร.คลาร์ก กล่าวว่า ภาพถ่ายดังกล่าวจะถูกเก็บเอาไว้อย่างดีในหอจดหมายเหตุของมหาวิทยาลัยเชฟฟีลด์ฮัลลัม (Sheffield Hallam) และยังขอให้ทุกคนที่มีข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนของนักปีนเขาออกมาแสดง เพื่อสืบถามข้อมูลให้ละเอียดมากกว่านี้

Sky Cruise โรงแรมลอยฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ โลกยิ่งพัฒนาก้าวไกลขนาดไหนเราจะได้เห็นอะไรที่มันแปลกๆ

Sky Cruise โรงแรมลอยฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ โลกยิ่งพัฒนาก้าวไกลขนาดไหนเราจะได้เห็นอะไรที่มันแปลกๆเมื่อก่อนเราเห็นเรือลำใหญ่เหมือนตึกสูงๆหรือโรงแรมลอยน้ำ เราก็ว่ามันอัศจรรย์แล้ว..

😁แต่ในอนาคตนี้เราอาจจะได้เห็นSky Cruise โรงแรมลอยฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ลอยกลางอากาศได้หลายปีโดยไม่ต้องแตะพื้น ก็ได้นะครับแต่อะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิดได้นะครับ แม้แต่เรือไททานิคที่เคยบอกว่าไม่มีวันจมก็ยังจมเลย 

👉🏿แต่ก็ลองดูต่อไปในอนาคตนะครับถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่ทันและได้ขึ้นSky Cruise โรงแรมลอยฟ้า ก็ถือว่าเป็นเป็นประสบการณ์ที่สุดแสนจะวิเศษเลยนะครับมันคงจะเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มากๆ

😱แต่ลองคิดเล่นดูนะถ้าโรงแรมลอยฟ้าเกิดขัดข้องมีอุบัติเหตุ ตกลงมา คงไม่เหลือซากแน่นอน มันคงระเบิดเป็นจุล...ยิ่งบอกว่า ใช้พลังงานนิวเคลียร์ขับเคลื่อน มันจะระเบิดพินาศสันตะโรขนาดไหนก็ไม่รู้นะครับถ้ามันตกลงมา😁😁😁

👉🏿Sky Cruise โรงแรมลอยฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ลอยกลางอากาศได้หลายปีโดยไม่ต้องแตะพื้น

สกาย ครูซ (Sky Cruise) เป็นการนำเสนอไอเดียเครื่องบินสุดล้ำที่จะให้เครื่องบินนำทางด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ซึ่งใช้มอเตอร์ยักษ์ไม่ต่ำกว่า 20 ตัว เป็นตัวขับเคลื่อนเครื่องบินยักษ์ ซึ่งมอเตอร์ทุกตัวจะได้รับพลังงานไฟฟ้าจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ด้วยระบบนิวเคลียร์ฟิวชัน (Nuclear Fusion) หรือกระบวนการที่รับพลังงานซึ่งเกิดจากการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีมาใช้เป็นพลังงานไฟฟ้า ซึ่งทำให้ตัวสกาย ครูซ (Sky Cruise) สามารถลอยตัวกลางอากาศได้เป็นระยะเวลานานหลักปี รวมถึงไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย

จุดเด่นคือ เครื่องบินลำนี้คือมีจุดชมวิวอยู่หลายแห่งมาก เริ่มตั้งแต่ตรงท้ายเครื่องนั้นจะเป็นหอสังเกตการณ์สำหรับชมวิวได้ 360 องศา

ซึ่งจะมีร้านอาหารและบาร์คอยให้บริการตรงจุดนี้ด้วย ตรงส่วนกลางเครื่องก็มีโดมกระจกขนาดใหญ่ให้เห็นวิวได้อย่างเต็มตา ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกก็มีครบครันทั้งโรงภาพยนตร์ ห้องเล่นเกม สระว่ายน้ำ จนไปถึงสถานที่จัดงานแต่งงาน

แม้ว่าแนวคิดนี้จะเป็นของโทนี่ โฮล์มสเตน (Tony Holmsten) นักออกแบบภาพและเกมเมื่อ 11 ปี ก่อน

แต่ในฐานะผู้ที่ได้รับอนุญาตให้นำแนวคิดไปต่อยอดจนกลายเป็นวิดีโอที่โด่งดัง ฮาเชม อัล-ไกลี (Hashem Al-Ghaili) นั้นเชื่ออย่างยิ่งว่าสิ่งที่โฮล์มสเตนได้คิดและออกแบบไว้นั้นจะเกิดขึ้นภายในปี 2040 หรืออีกไม่เกิน 20 ปีต่อจากนี้

เนื่องจากเตาปฏิกรณ์ที่เล็กลงจนสามารถติดตั้งภายในเครื่องบินได้ กุญแจความสำเร็จในอนาคตนั้นเหลือเพียงแค่ทำให้เตาปฏิกรณ์และมอเตอร์มีพลังงานเพียงพอจะทำให้สกาย ครูซ (Sky Cruise) ขึ้นบินได้เท่านั้น

สาระข้อมูลเพิ่มเติม

☑️พลังงานนิวเคลียร์ หมายถึง พลังงานไม่ว่าลักษณะใด ๆ ก็ตาม ซึ่งเกิดจากนิวเคลียสอะตอมโดยพลังงานนิวเคลียร์แบบฟิซชั่น (Fission) ซึ่งเกิดจากการแตกตัวของนิวเคลียสธาตุหนัก เช่น ยูเรเนียม พลูโทเนียม เมื่อถูกชนด้วยนิวตรอนหรือโฟตอน

☑️พลังงานนิวเคลียร์แบบฟิวชั่น (Fusion) เกิดจากการรวมตัวของนิวเคลียสธาตุเบา เช่น ไฮโดรเจน

☑️พลังงานนิวเคลียร์ที่เกิดจากการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี (อังกฤษ: Nuclear Decay) ซึ่งให้รังสีต่างๆ ออกมา เช่น อัลฟา เบตา แกมมา และนิวตรอน เป็นต้น

☑️พลังงานนิวเคลียร์ที่เกิดจากการเร่งอนุภาคที่มีประจุโดยเครื่องเร่งอนุภาค เช่น อิเล็กตรอน โปร ตอน ดิวทีรอน และอัลฟา เป็นต้น

คลิปวีดีโอประกอบ บทความ

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ปริศนาหิน“Hunger Stones”

ปริศนา“Hunger Stones” หินที่ปกติมีน้ำปกคลุมเมื่อพบหินในระดับนี้..ทำนายว่าจะพบความยากลำบากทกันดารอาหารหากอดอยาก ยากแค้น อากาศวิปริตแปรปรวนถึงขั้นการล่มสลาย  เมื่อหินHunger Stonesกลับมาอยู่ระดับนี้

👉🏿น่าจะเป็นสถิติที่คนโบราณบันทึกเอาไว้สลักลงไปในหิน...ว่าเมื่อสลักหินระดับนี้แล้วจะพบกับความแห้งแล้งอย่างหนักหน่วง...ในขณะที่น้ำท่วมหินอยู่แสดงว่ามันยังสมบูรณ์อุดมสมบูรณ์...แต่เมื่อใดที่น้ำลดลงจนมาพบระดับหินที่แกะสลักนี้แล้ว...แสดงว่าอนาคตหรือต่อไปข้างหน้าจะพบกับความแห้งแล้งกันดารขาดแคลนอาหารนี่ก็เป็นการเตือนถึงเหตุผลและข้อมูลที่อ้างอิงชนิดหนึ่งของคนโบราณที่ได้ทำเอาไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักถึง

ก็สมเหตุสมผลดี ที่ว่าหากได้เห็นหินก้อนนี้ "จะต้องร้องไห้" เพราะวิธีที่จะได้เห็นมัน ต้องเป็นเวลาที่เกิดภัยแล้งระดับรุนแรง และในตอนนี้แม่น้ำหลายแห่งในยุโรปก็กำลังเจอเรื่องนี้

ในตอนนี้ ระดับน้ำในแม่น้ำสายสำคัญทั่วยุโรปลดลงจนถึงจุดวิกฤติ เนื่องจากภูมิภาคนี้ประสบปัญหาภัยแล้งครั้งประวัติศาสตร์ และในแม่น้ำที่แห้งแล้งเหล่านั้น มีข้อความเตือนที่มีอายุหลายศตวรรษปรากฏขึ้น

มันเป็นก้อนหินที่ “น่ากลัว” มันถูกเรียกว่า “Hungersteine” หรือ “Hunger Stones” นักข่าวชาวเยอรมัน Olaf Koens กล่าวในทวีตเมื่อวันที่ 11 ส.ค. ที่ผ่านมา .. หนึ่งในหินที่ว่านี้ ฝังอยู่ในแม่น้ำเอลเบอ (Elbe River) ซึ่งไหลมาจากภูเขาของเช็กเกียไปจนถึงทะเลเหนือในเยอรมนี

หินดังกล่าวมีอายุย้อนไปถึงช่วงเวลาแห่งความแห้งแล้งในปี 1616 จนในตอนนี้ก็สามารถมองเห็นได้อีกครั้งในท้องแม่น้ำที่แห้งแล้ง โดยมีคำเตือนที่อ่านว่า “Wenn du mich seehst, dann weine” – “ถ้าคุณเห็นฉัน จงร้องไห้”

สำหรับ “หินหิวโหย” แบบนี้ถูกใช้เป็น “จุดสังเกตทางอุทกวิทยา” ทั่วยุโรปตอนกลาง ตามรายงานหินเหล่านี้ผุดขึ้นมาครั้งสุดท้ายในช่วงฤดูแล้งปี 2018

ความแห้งแล้งของยุโรปในตอนนี้ ถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน ..นักวิจัยจากหอสังเกตการณ์ภัยแล้งแห่งยุโรป (European Drought Observatory) กล่าวว่าภัยแล้งที่กำลังดำเนินอยู่นี้ อยู่ในขั้นเลวร้ายที่สุดในรอบ 500 ปี

ข้อมูลเพิ่มเติม
หินแห่งความหิว (เยอรมัน: Hungerstein) เป็นสถานที่สำคัญทางอุทกวิทยาที่พบได้ทั่วไปในยุโรปกลาง หินหิวโหยทำหน้าที่เป็นอนุสรณ์ความอดอยากและคำเตือน และถูกสร้างขึ้นในเยอรมนีและในการตั้งถิ่นฐานของชาวเยอรมันกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 15 ถึง 19

หินหิวโหยที่แม่น้ำ Elbe ในเมือง Děčín สาธารณรัฐเช็ก

หินเหล่านี้ถูกฝังลงในแม่น้ำในช่วงฤดูแล้งเพื่อทำเครื่องหมายระดับน้ำเพื่อเป็นการเตือนคนรุ่นต่อไปว่าพวกเขาจะต้องอดทนต่อความยากลำบากที่เกี่ยวข้องกับการกันดารอาหารหากน้ำกลับมาถึงระดับนี้อีกครั้ง ตัวอย่างหนึ่งที่มีชื่อเสียงในแม่น้ำเอลเบในเดชซิน สาธารณรัฐเช็ก

มีข้อความว่า "Wenn du mich siehst, dann weine" (แปลว่า "ถ้าคุณเห็นฉัน ร้องไห้") สลักไว้เพื่อเป็นการเตือน

หินเหล่านี้จำนวนมากซึ่งมีการแกะสลักหรืองานศิลปะอื่นๆ ถูกสร้างขึ้นหลังจากวิกฤตความหิวโหยในปี 1816–1817 อันเนื่องมาจากการปะทุของภูเขาไฟ Tambora

รายการบล็อกของฉัน