หน้าเว็บ

Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ถนนบินิมีแหล่งอารยธรรมลึกลับใต้น้ำ หรือนี่จะเป็นอาณาจักรแอตแลนติสที่สาบสูญ

😯ถนนบินิมี’ แหล่งอารยธรรมลึกลับใต้น้ำ หรือนี่จะเป็นอาณาจักรแอตแลนติสที่สาบสูญ?

ค้นหา
Custom Search
เมื่อ 300 ปีก่อนคริสตกาล ‘เพลโต’ (Plato) นักปรัชญาชื่อดังของกรีกโบราณ ได้จารึกเรื่องราวของอาณาจักรที่หายสาบสูญใต้ท้องมหาสมุทรเอาไว้ว่า อาณาจักรแห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรือง เป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองผู้ทรงคุณธรรม มีความก้าวหน้าสูงส่ง กำแพงเมืองเป็นทองคำและวิหารสร้างด้วยเงิน 

ทว่ามันถูกทำลายพังพินาศ ด้วยความพิโรธของเทพเจ้าผู้เนรมิตมันขึ้นมา อาณาจักรที่ว่าคือ ‘อาณาจักรแอตแลนติส’

จากจารึกเรื่องราวของอาณาจักรใต้น้ำอันน่ามหัศจรรย์ของเพลโต สอดคล้องกับการค้นพบซากอารยธรรมแห่ง ‘หมู่เกาะบิมินี’ (Bimini Islands) หมู่เกาะที่เต็มไปด้วยโครงสร้างแนวหินใต้ทะเลที่มีปริศนามากมายรอการพิสูจน์ ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศบาฮามาส ถูกค้นพบโดยบังเอิญ
เมื่อปี ค.ศ. 1968 โดยนักประดาน้ำ 3 คน นามว่า J. Manson Valentine, Jacques Mayol และ Robert Angove บริเวณที่พบแนวหินอยู่นอกชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่เกาะบิมินี ซึ่งบริเวณนั้นน้ำลึกเพียง 4-6 เมตร ทำให้เห็นแนวหินได้ชัดเจน 

นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าแนวหินเหล่านี้มีอายุประมาณ 2,800-3,500 ปี แต่สิ่งที่ทำให้นักโบราณคดีประหลาดใจคือ แนวหินที่พบนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มันถูกตัดเป็นก้อนอย่างจงใจ โดยเฉลี่ยขนาดของแนวหินเหล่านี้จะอยู่ที่ 1-2 เมตร ก้อนที่ใหญ่ที่สุดวัดได้ 3-4 เมตร วางเรียงเป็นแนวยาวกว่า 
800 เมตร จนได้รับการขนานนามว่า ‘ถนนบินิมี’ แต่ข้อสงสัยที่ยังไม่สามารถหาคำตอบได้คือ ใครกันที่มาสร้างถนนไว้ใต้มหาสมุทรเช่นนี้

สอดคล้องกับคำทำนายของ Edgar Cayce นักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกัน ที่มีความเชื่อด้านจิตวิญญาณและการกลับชาติมาเกิด ได้ทำนายว่าอารยธรรมแอตแลนติสนั้นมีอยู่จริง โดยกล่าวว่าภายในปี ค.ศ.1968-1969 มนุษย์จะได้พบกับบางส่วนของอารยธรรมที่เชื่อกันว่าล่มสลายไปเมื่อ 10,000 ปีก่อน 

ซึ่งในเวลาต่อมานักสำรวจได้ค้นพบแนวถนนใต้ทะเลลึกใกล้กับหมู่เกาะบิมินีจริง! ซึ่งเคย์ซีได้ทำนายไว้เมื่อปี ค.ศ.1938

นอกจากนี้ เคย์ซียังทำนายด้วยว่าอารยธรรมแอตแลนติสล่มสลายเพราะเทคโนโลยีของพวกเขาเอง นั่นคือผลึกลำแสงที่ทำหน้าที่เหมือนโรงไฟฟ้าที่ก่อให้เกิดความเสียหายจนทำให้แผ่นดินและอารยธรรมทั้งหมดทั้งมวลของแอตแลนติสสูญสลายไปในพริบตาจนแทบไม่เหลือหลักฐานยืนยันถึงการมีตัวตนอยู่จริง และชาวแอตแลนติสที่เหลือรอดได้เดินทางไปยังอียิปต์และอเมริกาใต้เพื่อสร้างอารยธรรมใหม่ของตัวเองอีกครั้ง

เป็นไปได้ไหมว่า ‘ถนนบินิมี’ อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของ ‘อาณาจักรแอตแลนติส’ อาณาจักรใต้น้ำโบราณดั่งที่เพลโตเคยจารึกเอาไว้ หรืออาจจะเคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของมนุษย์จากโลกอื่น เรื่องราวของสถานที่ใต้มหาสมุทรสุดอัศจรรย์แห่งนี้ ยังคงเป็นปริศนาที่ยังคงรอการพิสูจน์
ต่อไป

พบป้อมปราการไวกิ้งขนาดยักษ์ที่เดนมาร์ก


ตะลึง! ค้นพบป้อมปราการไวกิ้งขนาดยักษ์ที่เดนมาร์ก

นักโบราณคดีประกาศต่อสาธารณชนว่าได้ขุดค้นพบป้อมปราการซึ่งทำจากหิน ชื่อว่า Vallø Borgring บนเกาะซีแลนด์ ประเทศเดนมาร์ก คาดว่าสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 10 ภายใต้การปกครองของกษัตริย์เฮรัลด์ บลูทูธ ป้อมปราการแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นรูปวงกลม ซึ่งเป็นรูปแบบเฉพาะที่พบในประเทศเดนมาร์ก ป้อมปราการวงกลมเช่นนี้ถูกต้นพบเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี
และที่นี่ก็นับเป็นแห่งที่ 5 ที่ถูกค้นพบ และใหญ่เป็นอันดับสามของป้อมปราการทั้งหมด 

ซึ่งมีข้อมูลที่น่าทึ่งเกี่ยวกับป้อมปราการดังต่อไปนี้
1. การค้นหาต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก
“กว่าจะค้นพบได้ เราต้องอาศัยความมุมานะในการสืบค้นเป็นอย่างมาก” นักโบราณคดี Søren Sindbæk กล่าว

นักโบราณคดีกลุ่มนี้สืบหาเบาะแสจากป้อมปราการแห่งแรกที่ถูกค้นพบบนเกาะซีแลนด์ ป้อมปราการแห่งใหม่ที่พบนั้นมีถนนเก่าสายหลักที่เชื่อมต่อถึงกันและทอดไปยังแม่น้ำ Køge ซึ่งเป็นยุคที่พวกไวกิ้งเรืองอำนาจ ชาวไวกิ้งในยุคนั้นใช้เส้นทางนี้สัญจรผ่านฟยอร์ดและท่าเรือธรรมชาติ เราสืบหาจากจุดนั้น
ไปทีละก้าว

2. มีการใช้เทคโนโลยีที่สุดยอดมากมายในการค้นหาเมื่อค้นพบสถานที่แล้ว นักโบราณคดีได้ใช้เทคนิคการตัดชายขอบเพื่อสร้างขอบเขตในการสำรวจอย่างระมัดระวังไม่ให้กระทบกับโครงสร้างของป้อมปราการ 
ซึ่งทำให้พวกเขาเห็นโครงสร้าง
แบบคร่าว ๆ

ด้วยวิธีการวัดความต่างของอำนาจแม่เหล็ก ทำให้พวกเขาสามารถสร้างภาพร่างแบบคร่าว ๆ ของป้อมปราการได้ในเวลาไม่กี่วัน “ด้วยวิธีการสำรวจเช่นนี้ทำให้เรารู้ได้ทันทีว่าเราต้องขุดร่องตรงนี้เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับป้อมปราการนี้ให้มากที่สุด” Sindbæk กล่าว

3. ป้อมปราการนี้มีขนาดใหญ่มาก แต่มีรูปแบบเดียวกับป้อมปราการที่เคยค้นพบก่อนหน้านี้
ป้อมปราการมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 145 เมตร เป็นรูปวงแหวนของชาวไวกิ้ง เรียกว่า Trelleborgs ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ Nanna Holm กล่าวว่า “การค้นพบของเราแสดงให้เห็นว่าป้อมปราการนี้เป็นรูปวงกลมที่สมบูรณ์แบบ และมีท่อนซุงวางพาดอยู่ตามแนวด้านหน้า เป็นการค้นพบที่สุดยอดจริง ๆ”

4. ป้อมปราการนี้แสดงให้เห็นถึงอีกหนึ่งวัฒนธรรมของชาวไวกิ้ง
ชาวไวกิ้งไม่ได้เป็นแค่สุดยอดนักรบเท่านั้น แต่พวกเขายังเป็นศิลปินและสถาปนิกที่มีความสามารถและทักษะยอดเยี่ยมอีกด้วย

“ชาวไวกิ้งนั้นมีชื่อเสียงในด้านความบ้าบิ่นและการเดินเรือรบ น่าแปลกใจมากที่พวกเขานั้นมีความสามารถด้านการสร้างป้อมปราการที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้ การค้นพบป้อมปราการใหม่นี้เป้นโอกาสที่ดีในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสงครามและความขัดแย้งของชาวไวกิ้งในอดีต และเรายังได้มีโอกาสสำรวจอนุสรณ์สถานของชาวไวกิ้งอีกด้วย”

5. ป้อมปราการถูกใช้ทางการทหาร
อาจมีการสู้รบฆ่าฟันกันเกิดขึ้น
ณ สถานที่แห่งนี้
“เราสังเกตพบว่าประตูถูกเผาทำลาย ทางด้านประตูทิศเหนือ เราพบเสาไม้โอ๊กขนาดยักษ์ที่ถูกเผาทิ้ง” Holm กล่าว ร่องรอยหลักฐานเหล่านี้สามารถนำไปสู่การค้บพบว่า เกิดเหตุอะไรขึ้นที่นี่ และป้อมปราการนี้มีอายุเก่าแก่แค่ไหน “หากเราสามารถหาข้อสรุปได้ว่าป้อมปราการแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อใด เราก็จะสามารถเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในอดีตได้”

6. ถือเป็นข่าวดีสำหรับนักโบราณคดี
จากความน่าจะเป็นที่ว่าป้อมปราการแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของกษัตริย์บลูทูธ แต่การขุดสำรวจก็ยังจำเป็นต้องทำต่อไปเพื่อยืนยันทฤษฎีนี้ ในขณะเดียวกัน ยังมีสิ่งที่น่าสนใจให้เราได้ค้นพบอีก ทั้งในเดนมาร์กและทั่วโลก
ค้นหา
Custom Search

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ปริศนาดินแดนที่สาบสูญดอกเกอร์แลนด์ดินแดนแห่งก้นทะเลลึก

ปริศนาดินแดนที่สาบสูญ! 
‘ดอกเกอร์แลนด์’ ดินแดนแห่งก้นทะเลลึก ที่ในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของทวีปยุโรป
Custom Search
ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 18,000 ปีก่อน พื้นที่ของเกาะอังกฤษและเกาะไอร์แลนด์ หรือที่เรียกกันว่า ‘บริเตน’ (Britain) เคยเป็นผืนแผ่นดินเดียวกันกับทวีปยุโรป โดยในสมัยนั้นพื้นที่ของทั้งสองประเทศเป็นเพียงดินแดนรกร้างห่างไกลไร้ผู้คนอาศัยอยู่ มีเพียงทุ่งทุนดราหนาวเย็นทอดยาวกั้นระหว่างบริเตนกับแผ่นดินส่วนที่เหลือของทวีปยุโรป จนเมื่อโลกมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น สัตว์ป่าทั้งหลายเริ่มอพยพหาแหล่งที่อยู่ใหม่ มนุษย์ในยุคสมัยนั้นได้ตามรอยพวกมันไป จนได้พบกับดินแดนราบลุ่มอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่เรียกขานกันในภายหลังว่า ‘ดอกเกอร์แลนด์’ (Doggerland)
ๅเดิมทีนักโบราณคดีเชื่อกันว่า ‘ดอกเกอร์แลนด์’ เป็นเพียงสะพานแผ่นดินที่เชื่อมระหว่างทวีปยุโรปในปัจจุบันกับบริเตน แต่จากหลักฐานมากมายที่ค้นพบได้บ่งชี้ว่า ‘ดอกเกอร์แลนด์’ เคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของเหล่านักล่าและชาวประมงในยุคหินกลางมาก่อน จนเมื่อสภาพอากาศแปรเปลี่ยน ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนดอกเกอร์แลนด์ต้องอพยพโยกย้ายกันไปหาแหล่งที่อยู่ใหม่

จนกระทั่งถึงปลายยุคหินกลาง น้ำทะเลได้เข้าท่วมพื้นที่ดอกเกอร์แลนด์จนมิด และยังตัดขาดพื้นที่ที่เป็นบริเตนออกจากแผ่นดินใหญ่ ทำให้บริเตนกลายเป็นเกาะที่แยกออกจากแผ่นดินยุโรปดังเช่นปัจจุบัน ส่วนดอกเกอร์แลนด์นั้นกลายเป็นดินแดนที่หายสาบสูญไปจากแผนที่โลกตลอดกาล

จนกระทั่งเมื่อปีค.ศ. 1985 ชาวประมงได้ออกเรือหาปลาอยู่แถบทะเลเหนือ อันเป็นพื้นที่ที่เชื่อว่าเป็นดินแดนดอกเกอร์แลนด์ที่จมอยู่ใต้ทะเลลึก และเมื่อพวกเขาลากอวนหาปลาขึ้นมาก็พบซากฟันกรามขนาดมหึมา และเมื่อนักโบราณคดีทำการพิสูจน์หาที่มาที่ไปของซากฟันกรามดังกล่าวก็พบว่า นี่เป็นซากฟันกรามของสัตว์ในยุคดึกดำบรรพ์ที่เคยอยู่อาศัยในดินแดนแถบนี้ แต่ได้สูญพันธุ์ไปนานแล้ว

และล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2015 นักประดาน้ำชาวอังกฤษ นามว่า Dawn Watson ได้ไปดำน้ำที่ทะเลเหนือ นอกชายฝั่งของเกาะอังกฤษ และได้พบเข้ากับผืนป่าขนาดมหึมาที่จมอยู่ก้นทะเลลึก 
ซึ่งผู้เชี่ยวชาญต่างเชื่อว่า ผืนป่าแห่งนี้คือพื้นที่ของ ‘ดอกเกอร์แลนด์’ ดินแดนที่จมอยู่ใต้ทะเลลึกมากว่าหมื่นปีนั่นเอง ซึ่งในตอนนี้อดีตผืนป่าแห่งดินแดนที่หายสาบสูญได้กลายสภาพเป็นแหล่งเจริญเติบโตของปะการังธรรมชาติ และเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเลน้ำลึก เหลือไว้เพียงเรื่องราวในอดีตของดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผืนแผ่นดินเดียวกับทวีปยุโรปสืบไป

เรียบเรียง : S

พบ อุโมงค์ลึกลับ ใต้ซากวิหารบาบิอา

ถูกซ่อนมาตั้งนาน !! ทีมสำรวจพบ "อุโมงค์ลึกลับ" ใต้ซากวิหารบาบิอา 
เข้าไปสำรวจได้นิดเดียว แต่ต้องยกเลิก ?! ปล่อยทิ้งร้างกว่า 30 ปี 

ค้นหา
Custom Search
บนโลกมนุษย์ ยังมีเรื่องราวอีกหลาย ที่เป็นความลับ และรอวันเปิดเผยให้ บางอย่างถูกค้นพบแล้วแต่ไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าเกิดจากอะไร เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือมาจากฝีมือมนุษย์
อย่างเช่นเรื่องราวต่อไปนี้ที่ทุกวันนี้ยังเป็นปริศนาชวนสงสัย อุโมงค์ลึกลับ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ซาก "วิหารบาอิบา" วิหารเก่าแก่อายุกว่า 2,000 ปีที่อยู่ ณ ชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของอ่าวเนเปิลส์แคว้นคัมปาเนีย ประเทศอิตตาลี อุโมงค์แห่งนี้ปัจจุบันยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ว่ามันถูกสร้างมาได้อย่างไร และจุดประสงค์เพื่ออะไร
ได้เผยเรื่องราวเร้นลับนี้ว่าเมื่อปี ค.ศ. 1932 อุโมงค์แห่งนี้ถูกค้นพบโดยนักโบราณคดีชาวอิตตาเลียนชื่อ อเมดิโอ ไมยูรี โดยอุโมงค์แห่งนี้อยู่ใต้ซาก  "วิหารบาอิบา" ที่สำคัญคือ หลังจากทีมสำรวจไมยูรี เข้าไปได้เพียงเล็กน้อย จู่ๆยกเลิกแผนสำรวจและปล่อยร้างไว้นานถึง 30 ปี

แน่นอนว่าหลังจากนั้น อุโมงค์แห่งนี้ ถูกสำรวจอีกครั้งในปี ค.ศ. 1960 โดยนักโบราณคดีสมัครเล่น 2 คนชื่อ โรเบิร์ต พาเกท และ คีธ โจนส์ ทั้งคู่พบว่าภายในอุมโมงค์มี่ทางเดินที่แคบ เส้นทางซับซ้อน มีกลิ่นก๊าซจากภูเขาไฟตลบอบอวล
กระทั่ง ทั้งคู่เดินมาสุดอุโมงค์พบว่าปลายทางคือ บ่อน้ำพุร้อนเดือดจัด โดยเส้นทางจากปากอุโมงค์ถึงปลายทางคำนวนแล้วคือ 180 เมตร  ทั้งนี้ จากการสันนิษฐานแล้วคาดว่า บ่อน้ำพุร้อนเดือดจัดที่พบเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟในอดีต และสถานที่แห่งนี้อาจสร้างมาเพื่อบูชาซาตาน เนื่องจากเส้นทางที่พบมีเส้นตรงคล้ายกับปลายทางคือจุดจบของชีวิตนั้นเอง
ชมคลิปด้านล่าง

ขอบคุณข้อมูลจาก s

ปริศนาใต้น้ำแข็งเรื่องราวสุดลึกลับของ ขั้วโลกใต้


ปริศนาใต้น้ำแข็ง!? เรื่องราวสุดลึกลับของ ‘ขั้วโลกใต้’ ที่ครั้งหนึ่งอาจมีอารยธรรมโบราณตั้งอยู่!
ค้นหา
Custom Search

แชแนลยูทูบเอาใจคนรักเรื่องเร้นลับลึกลับ กลับมาคราวนี้ เผย 5 เรื่องราวอันสุดลึกลับของ ‘ขั้วโลกใต้’ ที่บอกไว้เลยว่าแต่ละเรื่องอาจทำเอาอ้าปากค้างก็เป็นได้!

นครโบราณ : ก่อนเกิดยุคน้ำแข็งเมื่อ 1 หมื่นปีก่อน เชื่อกันว่าขั้วโลกใต้เคยมีผู้คนตั้งรกรากอาศัยอยู่ 
เมื่อปี ค.ศ. 2002 มีรายงานว่าพบเห็นร่องรอยของสิ่งปลูกสร้างขนาดยักษ์ถูกซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำแข็งลึก 2.3 กิโลเมตร จากภาพถ่ายของ NASA ได้แสดงร่องรองที่เชื่อว่าอาจเป็นเมืองถูกซ่อนใต้น้ำแข็ง และภาพหุบเขาที่เชื่อว่าอาจเป็นพีระมิดที่สร้างโดยมนุษย์ก็เป็น

ฐานทัพลับใต้ดิน : เคยมีนักสำรวจพบเห็นถ้ำที่มีลักษณะเหมือนทางเข้าบน Google Earth ที่ทำให้เชื่อว่าอาจเป็นฐานทัพลับทางทหาร หรืออาจเป็นที่หลบซ่อนตัวของมนุษย์ต่างดาว! บ้างก็ว่าอาจเป็นฐานทัพที่พวกนาซีเยอรมนีเคยสร้างเอาไว้ก่อนถูกปล่อยทิ้งร้าง

ความลับที่ถูกซ่อนไว้ 
ในปี ค.ศ.2012 ได้มีนักสำรวจพบกับสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่จมอยู่ใต้พื้นผิวน้ำแข็ง พวกเขาเชื่อว่ามันอาจเป็นจานบินจากต่างดาว 
ก่อนภาพในบริเวณดังกล่าวจะถูกเบลอโดยทาง Google ท่ามกลางความสงสัยของผู้คนเป็นอย่างมาก อาจมีบางสิ่งบางอย่างที่ทางการไม่อยากให้เรารู้ก็เป็นได้

ร่องรอยจานบินตก : วาเลนติน เดคเตเรฟ ผู้ใช้ Google Earth กล่าวอ้างว่าพบเห็นร่องรอยที่เชื่อว่าอาจเป็นจานบินตกบนขั้วโลกใต้ มันอาจเป็นยานอวกาศขนาดใหญ่ของมนุษย์ต่างดาวที่ลงจอดฉุกเฉินบนขั้วโลกใต้ โดยทิ้งร่องรอยไว้บนพื้นผิวน้ำแข็งไว้เป็นหลักฐาน
ปริศนาใต้น้ำแข็ง!? เรื่องราวสุดลึกลับของ ‘ขั้วโลกใต้’ ที่ครั้งหนึ่งอาจมีอารยธรรมโบราณตั้งอยู่!
ตัวคราเคน : เมื่อไม่นานมานี้ได้มีรายงานข่าวจากต่างประเทศ ที่เชื่อกันว่าอาจเป็นภาพของตัวคราเคน สัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายกับปลาหมึกปรากฏตัวนอกชายฝั่งขั้วโลกใต้

โดยภาพดังกล่าวได้สร้างความฮือฮาบนโลกโซเชียลเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม มีผู้เชี่ยวชาญออกมายืนยันว่าภาพดังกล่าวอาจเป็นเพียงแค่โขดหินธรรมดาเท่านั้น ไม่ใช่คราเคนอย่างที่หลายคนเข้าใจ

ผู้พิทักษ์หิมะชายคนนี้อาศัยอยู่ในป่าคนเดียวบันทึกข้อมูลหิมะตกนานถึง 40 ปี


😌ผู้พิทักษ์หิมะ…ชายคนนี้อาศัยอยู่ในป่าคนเดียวบันทึกข้อมูลหิมะตกนานถึง 40 ปี
ค้นหา
Custom Search

ในเมืองร้างห่างไกลอันแสนหนาวเหน็บที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ชายผู้มีนามว่า 
Billy Barr ได้พักอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลาถึง 40 ปี ทุกวันเขาจะบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับหิมะและสภาพอากาศ เขาทำมันแค่เพียงให้ผ่านวันเวลา แต่ข้อมูลที่เขาบันทึกไว้กลับเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศ 

นักวิจัยพบบันทึกนี้โดยบังเอิญและใช้มันเป็นหลักฐานสำคัญในงานวิจัยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เขาได้รับฉายาว่า ‘ผู้พิทักษ์หิมะ’
Barr อาศัยอยู่ที่เมือง Gothic รัฐโคโลราโด ที่ไม่เคยมีคนอยู่อาศัยมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1920 มันเป็นสถานที่ที่หนาวเย็นที่สุดและมีหิมะตกมาก เขาอยู่ในห้องพักเล็กๆคนเดียวโดดเดี่ยว ในฤดูหนาวทุกสองสัปดาห์เขาจะสกีเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อสิ่งของจำเป็น

ห้องพักของเขาเต็มไปด้วยหนังสือ เขาชอบภาพยนต์อินเดีย เขาสื่อสารได้ดีและดูมีเสน่ห์ Barr กล่าวว่า “สิ่งที่ผมสนใจคือสภาพอากาศและสัตว์ ดังนั้นผมจึงเริ่มบันทึกสิ่งต่างๆเพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องทำ”

Barr ทำสถานีวัดสภาพอากาศชั่วคราวติดกับห้องพัก ในแต่วันและทุกๆวันเป็นเวลา 40 ปี เขาได้บันทึกอุณหภูมิและสภาพอากาศ รวมทั้งความหนาของหิมะในฤดูหนาวซึ่งเขาจะวัดอย่างละเอียดลออวันละสองครั้ง เขาเขียนด้วยลายมือลงในสมุดบันทึกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

👷เมือง Gothic มีหน่วยวิจัยเล็กๆที่ศึกษาในหลายๆเรื่อง เช่น การถ่ายละอองเรณูของพืชดอก ระบบนิเวศขั้นสูง และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ 
เมื่อเร็วๆนี้นักวิทยาศาสตร์บางคนที่นั่นได้รับสมุดบันทึกของ Barr สมุดบันทึกของเขาได้ให้ข้อมูลระยะยาวของแนวโน้มสภาพอากาศที่นั่นซึ่งมีค่าอย่างมากสำหรับงานวิจัย

ข้อมูลจากสมุดบันทึกของ Barr ขณะนี้สามารถหาดูได้ทางออนไลน์ ที่นี่ ซึ่งมีข้อมูลอุณหภูมิเฉลี่ยสูง-ต่ำรายเดือนและข้อมูลหิมะตกรายเดือนย้อนหลังไปถึงปี 1974 Barr กล่าวว่า “แนวโน้มที่ผมเห็นคือเราจะมีชั้นหิมะถาวรช้าลง และหิมะละลายหมดเร็วขึ้น มีหิมะตกหนักอยู่หลายปี จากนั้นหิมะจะละลายหมดเร็วขึ้นกว่าปีที่มีหิมะน้อยเพราะตอนนี้มันร้อนขึ้นมาก”

เรื่องราวของ Barr ได้ถูกถ่ายทอดเป็นหนังสั้นความยาวเกือบห้านาทีในชื่อ The Snow Guardian ที่คุณสามารถคลิ๊กเข้าชมได้ที่ข้างล่าง

พบเกรทเตอร์ เอเดรีย ทวีปเกิดใหม่แฝงอยู่ใต้โลก นับร้อยล้านปี



ค้นหา
Custom Search
เกรทเตอร์ เอเดรีย ทวีปเกิดใหม่แฝงอยู่ใต้โลก นับร้อยล้านปี
สะเทือนวงการวิทยาศาสตร์-ภูมิศาสตร์โลกกันเลยทีเดียว เมื่อนักวิทยาศาสตร์ค้นพบ เกรทเตอร์ เอเดรีย ทวีปลึกลับที่ซุกซ่อนอยู่ใต้แผ่นเปลือกโลก หลับใหลอยู่ในมหาสมุทรมานานร้อยล้านปี บัดนี้ถูกค้นพบแล้ว

ชื่อ เกรทเตอร์ เอเดรีย เป็นชื่อที่ทางมหาวิทยาลัยยูเทรกต์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ตั้งให้ มีขนาดเท่าเกาะกรีนแลนด์ 1 เกาะ ซึ่งเชื่อว่าเดิมเป็นแผ่นเปลือกของทวีปแอฟริกาเหนือที่แตกออกมา แล้วฝังอยู่ใต้แผ่นเปลือกยุโรปใต้ยาวนานประมาณ 140 ล้านปี กระทั่งไม่กี่วันที่ผ่านมามันก็ถูกค้นพบขณะที่นักวิจัยกำลังรื้อสร้างวิวัฒนาการทางธรณีวิทยาอันสลับซับซ้อนของแผ่นทวีปเมดิเตอร์เรเนียน (ง่ายๆก็คือกำลังทำโมเดลการเคลื่อนที่ของแผ่นทวีปในเมดิเตอร์เรเนียน) และที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ คุณอาจจะเคยไปเยือนมันแล้วก็เป็นได้

จากที่กล่าวไว้ข้างต้นว่านักท่องเที่ยวหลายคนเคยไปเยือน เกรทเตอร์ เอเดรีย โดยที่ไม่รู้ตัวนั้น ศจ. ดาวน์ วาน ฮินสแบร์เก็น ผู้เขียนบทความวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาคระดับโลกและบรรพชีวินวิทยา ณ มหาวิทยาลัยยูเทรกต์ ได้กล่าวไว้ว่า 
"ลืมแอตแลนติสไปได้เลย 

เพราะนี่คือทวีปที่สาบสูญอยู่ใต้มหาสมุทรที่มีอยู่จริง เพราะนักท่องเที่ยวจำนวนหลายล้านเคยไปเหยียบที่นั่นกันมาหมดแล้วโดยที่ไม่มีใครรู้เลย เพราะตอนนี้มันเหลือแค่บริเวณขอบที่อยู่บริเวณเมืองตูริน ประเทศอิตาลี ใครที่เคยไปแถวนั้นน่าจะต้องเคยเหยียบมันมาแล้ว" 

นักวิจัยยังได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า ตามจริงแล้ว เกรทเตอร์ เอเดรีย มีขนาดที่ใหญ่เกาะกรีนแลนด์ด้วยซ้ำไป 

หากแต่พื้นที่ส่วนใหญ่ของมันนั้นจมอยู่ใต้มหาสมุทร แต่เศษชิ้นส่วนของแผ่นเปลือกส่วนใหญ่ก็จะหลุดลุ่ยไปตามกาลเวลาและการเคลื่อนของแผ่นเปลือกโลก และไอ้เศษชิ้นส่วนแผ่นเปลือกที่หลุดนั้นก็กลายเป็นแนวเทือกเขาแถบยุโรป เช่นเทือกเขาแอลป์ กรีซและตุรกี ซึ่งถือว่าเป็นแถบแผ่นเปลือกที่ค่อนข้างชนกันซับซ้อนมั่วซั่ว ไม่เหมือนกับเทือกเขาหิมาลัยที่จะเป็นระเบียบกว่า

ปัจจุบัน แผ่น เกรทเตอร์ เอเดรีย ยังคงหลงเหลืออยู่เป็นขอบเปลือกที่ยืดยาวออกไปสู่ทะเลเอเดรียติก ตรงจุดนั้นเลยเรียกว่า จุดเอเดรีย 

ซึ่งเชื่อมต่อกับบริเวณเมืองตูริน ทางตอนเหนือของอิตาลีและทอดยาวกลายเป็นฐานล่างรูปทรงรองเท้าบูทอันก่อตัวให้เป็นอิตาลีขึ้นมาในปัจจุบัน...

รายการบล็อกของฉัน