หน้าเว็บ

Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ระเบิดปรมาณู และยานอวกาศก่อนสมัยน้ำท่วมโลกในอดีตกาล

ระเบิดปรมาณู และยานอวกาศ
ก่อนสมัยน้ำท่วม
แอตแลนติสเป็นอย่างไรก่อนสมัยน้ำท่วม เพลโตได้กล่าวอย่างชัดเจนถึงชัยชนะ และลัทธิจักรวรรดินิยมของชาวแอตแลนติสในยุคสุดท้าย จารึก สัมสัปตะกะพธะ ของอินเดียกล่าวถึงอากาศยานที่ได้แรงขับจาก “พลังสวรรค์” จารึกนี้ยังกล่าวถึงจรวดขีปนาวุธ ซึ่งมีพลังแห่งจักรวาล แสงเจิดจ้าจากการระเบิดเปรียบได้กับพระอาทิตย์พันดวง คัมภีร์ดังกล่าว กล่าวว่า
แผ่นจารึกของบาบิโลน
เล่าเรื่องกิลกาเมซและน้ำท่วมใหญ่

"เทพเจ้าทรงตกใจและร้องว่า อย่าระเบิดโลกเป็นเถ้าถ่านเลย” เมาโสละปุราวะ ในภาษาสันสกฤตยังอ้างถึงอาวุธที่เราไม่รู้จัก สายฟ้าเหล็ก ทูตมรณะ ยักษ์ซึ่งทำลายเผ่าพันธุ์ทั้งปวงของ วฤศนิส และ อังหกะ เป็นเถ้าถ่าน ศพนั้นถูกเผาเพื่อมิให้จดจำได้ ผมและเล็บของคนเหล่านั้นโผล่ออก เครื่องถ้วยแตกโดยไม่ปรากฏชัดเจน และฝูงนกก็กลายเป็นสีขาว หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม...เสบียงอาหารทั้งปวงก็ติดเชื้อโรค
           
อะเล็กซานเดอร์ กอร์ปโบฟสกี้ ได้เขียนไว้ในหนังสือ ปริศนาแห่งยุคโบราณ ว่า โครงกระดูกมนุษย์พบในอินเดียนั้น เป็นกัมมันตภาพรังสี กัมมันตภาพรังสีดังกล่าวมีค่าเป็นห้าสิบเท่าจากปกติ ทำให้เราเริ่มสงสัยว่า เมาโสละปุราวะ คงจะเป็นเรื่องจริงมากกว่าจะเป็นแค่ตำนาน
             
อี.เซห์เรน เขียนไว้ในเรื่อง เนินเขาใหญ่
(Die Biblischen Hugel) โดยกล่าวถึงเบอร์ชิปปาที่ไหม้เป็นเถ้าถ่าน และมักจะเปรียบกับหอคอยบาเบล เซห์เรนยังตั้งคำถามว่า อำนาจใดที่หลอมอิฐแห่งซิกกูแร็ตได้ คำตอบก็คือ ไม่มีสิ่งใด เว้นแต่สายฟ้าขนาดยักษ์ หรือระเบิดปรมาณูเท่านั้น
             
ศาสตราจารย์ เฟรเดริก โซดดี ผู้ได้รับรางวัลโนเบลไพรซ์ และผู้ค้นพบไอโซโทป ได้กล่าวถึงเรื่องเล่าที่สืบทอดมาถึงเรา จากยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยเขียนไว้เมื่อปี ค.ศ.1909 ว่า “เราไม่อาจจะหาข้อพิสูจน์จากพวกเขาได้ เพราะความเชื่อที่ว่า เผ่าพงศ์ที่ถูกลืมในกาลก่อนไม่ได้รับความรู้ที่เราเพิ่งได้รับเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจที่เราไม่มีอีกด้วย”

เมื่อ ค.ศ.1909 อำนาจดังกล่าวหรืออำนาจของปรมาณูยังไม่เป็นของเรา เห็นได้ชัดว่า ศาสตราจารย์โซดดี ได้คิดถึงอารยธรรมในอดีตที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องพลังงานปรมาณู ในการถกเรื่องเผ่าพงศ์สมัยก่อนประวัติศาสตร์นี้ 

นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ผู้บุกเบิกท่านนี้ยังคิดว่า “มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะสำรวจขอบเขตของอวกาศชั้นนอกได้”
             
คัมภีร์โบราณของอินเดียกล่าวถึงเครื่องบิน ระเบิดปรมาณู และการท่องอวกาศ เทพปูชานในพระเวทได้แล่นเรือทองคำผ่านมหาสมุทรแห่งท้องฟ้า ครุฑอันเป็นนกสวรรค์ได้พาพระวิษณุท่องไปในจักรวาล คัมภีร์สัมสัปตะกะพธะได้พรรณนาถึงการบินในอวกาศว่า “ผ่านดินแดนแห่งห้วงอวกาศเหนือดินแดนแห่งสายลม” นี่เป็นการกล่าวชี้อย่างชัดเจนถึงการเดินทางในอวกาศ คัมภีร์ สุรยสิทธันตะ อันเป็นงานทางดาราศาสตร์ภาษาสันสกฤตที่เก่าแก่ที่สุด ได้กล่าวถึงสิทธะหรือมนุษย์วิเศษ และวิทยาธร หรือผู้ครอบครองความรู้ ผู้เดินทางไปรอบโลก“ใต้พระจันทร์ เหนือเมฆ” นี่ไม่ใช่ข้อเสนอที่ชัดเจนของนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ในเรื่องการโคจรของโลกเราหรอกหรือ?
   
     
หากมหากาพย์กิลกาเมชมีความเชื่อมโยงกับจารึกอินเดีย ก็อาจจะเป็นการเติมช่องว่างในประวัติศาสตร์ของมนุษย์สมัยต้น ๆ เมื่อน้ำท่วมโลก ชาวฟ้าของกิลกาเมชได้แยกตัวเดินทางไปสวรรค์ อาจจะเข้าสู่วงโคจรรอบโลก หรือกระทั่งเดินทางไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ สมรณคณะ สูตรหระ กล่าวว่า เพราะอากาศยานมนุษย์จึงเหาะไปในอากาศได้ และตัวตนในสวรรค์ยังมาสู่โลกได้ เราคงอดคิดไม่ได้ถึงการจราจรสองทาง ระหว่างโลกของเราและโลกอื่น ๆ เมื่ออ่านข้อความนี้
 นับว่ามีเหตุผลมากขึ้น ที่สนับสนุนว่าการอพยพล่าถอยจากแอตแลนติส ดำเนินการไปด้วยเรือมากกว่าใช้อากาศยาน หรือยานอวกาศ ซึ่งถูกสงวนไว้สำหรับผู้มีสิทธิพิเศษ ผู้อพยพเหล่านั้นได้ตั้งถิ่นฐานในอียิปต์และไพเรนีส อันเป็นบริเวณใกล้เคียง โดยให้แรงผลักดันแก่อารยธรรมของลุ่มน้ำเมดิเตอร์เรเนียน

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Cathedral Cove ซุ้มประตูหินสุดงดงามจากธรรมชาติ

Cathedral Cove ซุ้มประตูหินสุดงดงาม
Cathedral Cove 
Cathedral Cove เป็นส่วนหนึ่งของ Te Whanganui-A-Hei (Cathedral Cove) Marine Reserve....
ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเกาะเหนือ ประเทศนิวซีแลนด์ บริเวณอ่าวแห่งนี้มีซุ้มประตูหินขนาดใหญ่ และแท่งหินขนาดใหญ่ที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเล

Cathedral Cove ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกที่หนึ่งในประเทศนิวซีแลนด์ 

ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวกว่า 150,000 คน นักท่องเที่ยวที่เดินทางมานิยมดำน้ำตื้นดูปะการัง และพายเรือคายักชมความงดงามโดยรอบ

Cathedral Cove 

ปริศนา การหายสาบสูญของสองพี่น้องนักสำรวจตระกูล Corte-Real


ปริศนา! การหายสาบสูญของสองพี่น้องนักสำรวจตระกูล ‘Corte-Real’ ที่ปัจจุบันนี้ยังไม่รู้ว่าพวกเขาหายไปไหนกันแน่?

ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-17 คือ ‘ยุคแห่งการสำรวจ’ หรือ ‘ยุคแห่งการค้นพบ’ ซึ่งชาติจากทวีปยุโรปล้วนแข่งขันกันล่าอาณานิคม เพื่อค้นหาดินแดนใหม่ๆ และเพื่อการค้าขาย และเรื่องราวที่เรานำมาเสนอในวันนี้คือเรื่องราวของสองพี่น้องนักสำรวจคู่หนึ่งที่ออกเดินทางเพื่อค้นหาความท้าทาย แต่ทว่าการออกเดินทางของพวกเขาในครั้งนี้ เต็มไปด้วยเรื่องราวลึกลับและปริศนามากมาย จะเป็นอย่างไรนั้น ไปหาคำตอบพร้อมๆ กันได้เลย

‘Miguel และ Gaspar Corte-Real’ สองพี่น้องนักสำรวจชาวโปรตุเกส บุตรชายของ João Vaz Corte-Real ผู้ปกครองหมู่เกาะอะโซร์ส (Azores) หมู่เกาะที่ตั้งอยู่ตอนกลางของมหาสมุทรแอตแลนติก โดยในปี ค.ศ.1500 Gaspar Corte-Real 
ผู้เป็นน้องชาย ได้แล่นเรือมุ่งหน้าไปยังมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ เพื่อค้นหาดินแดนใหม่ตามนโยบายของ กษัตริย์ Manoel แห่งจักรวรรดิโปรตุเกส ที่ต้องการให้โปรตุเกสเป็นเจ้าอาณานิคมในดินแดนทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติกทั้งหมด

👉Gaspar แล่นเรือไปจนถึงกรีนแลนด์ แต่เขาไม่สามารถขึ้นฝั่งได้ด้วยเหตุผลที่ไม่ปรากฏแน่ชัด และเมื่อปี ค.ศ. 1501 Gaspar ได้แล่นเรือกลับไปยังโปรตุเกสดังเดิม แต่ระหว่างการเดินทางกลับนั้น เกิดสภาพอากาศแปรปรวนและหนาวจัด ทำให้น้ำในมหาสมุทรแอตแลนติกกลายเป็นน้ำแข็ง ไม่สามารถแล่นเรือต่อไปได้ เขาจึงแวะขึ้นฝั่งที่ 
เกานิวฟันด์แลนด์(Newfoundland) เกาะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศแคนาดาในปัจจุบัน และที่แห่งนี้เองที่ Gaspar ได้กดขี่ข่มเหงชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บนเกาะ และได้จับตัวชนพื้นเมืองจำนวน 57 คน ขึ้นเรือเพื่อเดินทางกลับไปยังโปรตุเกสด้วย แต่ทว่าระหว่างการเดินทางกลับไปยังดินแดนบ้านเกิดนั้นเรือของ Gaspar ได้หายไปอย่างลึกลับและไม่มีใครทราบข่าวคราวอีกเลย

และในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ.1502 Miguel Corte-Real ผู้เป็นพี่ชาย ก็ได้แล่นเรือเพื่อออกตามหา Gaspar น้องชายอันเป็นที่รัก หากแต่ Miguel กลับหายตัวไปอย่างลึกลับเช่นเดียวกัน 

ผู้คนในสมัยนั้นต่างเชื่อกันว่า สองพี่น้อง Corte-Real น่าจะเสียชีวิตแล้ว แต่ทว่า ในปี ค.ศ. 1912 ศาสตราจารย์ Edmund B. Delabarre แห่งมหาวิทยาลัยบราวน์ (Brown University) สหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาข้อความที่มีผู้บันทึกไว้บนหิน Dighton Rock บริเวณแม่น้ำ Taunton ในรัฐแมสซาชูเซตส์ และพบว่า ผู้ที่สลักข้อความลงบนหินก้อนนี้ก็คือ Miguel Corte-Real นั่นเอง

โดยเนื้อหาที่สลักบนหินมีใจความว่า ‘ข้าพเจ้า มีนามว่า Miguel Corte-Real ด้วยพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้ลิขิตให้ข้าพเจ้าคือหัวหน้าเผ่าของชาวอินเดียนแดง ณ สถานที่แห่งนี้ บันทึกเอาไว้เมื่อปี ค.ศ. 1511’ 

ซึ่งนั่นก็แสดงว่า Miguel ไม่ได้เสียชีวิตขณะแล่นเรือออกตามหาน้องชาย แต่เขาได้กลายมาเป็นสมาชิกของชนเผ่าอินเดียนแดง 
ณ แผ่นดินอเมริกานั่นเอง ส่วนเรื่องราวการหายตัวไปของ Gaspar ผู้เป็นน้องชาย พร้อมลูกเรือและ
ชนพื้นเมืองทั้ง 57 คนนั้น ยังคง
เป็นปริศนาจวบจนปัจจุบัน

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2564

พีระมิดและผู้พิชิตในอเมริกาใต้


Pyramid and the Conquest of South America
ชาวโอลเมค บรรพบุรุษของชาวมายาและแอซเต็ก อาจจะเป็นพลเมืองของจักรวรรดิแอตแลนติกก็ได้ เมื่อนักโบราณคดไม่พบอายุของพีระมิดคิวคูอิลโคในเม็กซิโกซิตี พวกเขาก็ขอให้นักธรณีวิทยาช่วยเหลือ เพราะสิ่งก่อสร้างดังกล่าวจมอยู่ในลาวาแข็งครึ่งหนึ่ง เนื่องจากบริเวณนั้นมีภูเขาไฟอยู่สองลูก จึงมีคำถามเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติว่า “การระเบิดของภูเขาไฟเกิดขึ้นเมื่อใด?” คำตอบนั่นน่าสะดุ้งตกใจทีเดียว นั่นคือ “เมื่อแปดพันปีก่อน” หากข้อสรุปนี้ถูกต้อง ก็หมายความว่าเคยมีอารยธรรมขั้นสูงอยู่ในอเมริกากลาง ในยุคโบราณอันไกลโพ้น            



พีระมิดและผู้พิชิตในอเมริกาใต้จักรวรรดิอันแข็งแกร่งท่ามกลางมหาสมุทรแอตแลนติกจะต้องประกอบด้วยอาณานิคมในยุโรป แอฟริกา และ อเมริกาอย่างแน่นอนและมีข้อเท็จจริงต่างๆที่ยืนยันมุมมองดังกกล่าวนั้น

  
พีระมิดแห่งพระอาทิตย์ ที่เม็กซิโก
ชาวอียิปต์โบราณได้สร้างพีระมิดขนาดมหึมา ชาวบาบิโลนได้สร้างซิกกูแร็ตหรือหอคอยเป็นชั้น ๆ ที่รวมเอาการศึกษาทางดาราศาสตร์ และการบูชาทางศาสนาเข้าด้วยกัน ผู้อาศัยสมัยโบราณของอเมริกาใต้และอเมริกากลางต่างก็สร้างพีระมิดขนาดมหึมา โดยใช้เป็นวิหาร หอสังเกตดาว หรือหลุมศพ ระยะทางจากบาบิโลนและอียิปต์ไปถึงเม็กซิโกนั้นยาวไกล แต่ธรรมเนียมการสร้างพีระมิดในดินแดนสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกก็สามารถทำให้เราเข้าใจได้ถึงข้อสมมติฐานที่ว่า พีระมิดเหล่านี้มีจุดกำเนิดในแอตแลนติส และจากนั้นก็แพร่ไปทางตะวันออกและตะวันตกโดยทั่วไปจะเชื่อกันว่า พีระมิดเป็นเพียงการบ่งบอกถึงความต้องการจะสร้างภูเขาจำลอง ข้อนี้อาจจะเป็นจริงในกรณีของเมโสโปเตเมีย และอียีปต์ แต่ทฤษฎีนี้มิได้อธิบายถึงเหตุผบในดินแดนอันหลากหลายของเม็กซิโกและเปรู มีหลักฐานชุดเจนว่ามีเหตุผลอื่น ๆ ในการสร้างพีระมิดในดินแดนส่งฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก และธรรมเนียมจากแอตแลนติสอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่ง
นักประวัติศาสตร์ชาวยิวในศตวรรษที่หนึ่ง ชื่อ โยเซฟฮุส ฟลาวิอุส กล่าวว่า นิมโรด ได้สร้างหอคอยบาเบล เพื่อให้เป็นที่กันภัยจากน้ำท่วมที่อาจจะมากวาดล้างโลกอีกครั้งหนึ่ง นักพงศาวดารเม็กซิโกนามว่า อิกซ์ตลิลโซชิตล์ ได้กล่าวถึงแรงขับของชาวทอลเท็ก ที่สร้างพีระมิดว่า “หลังจากมนุษย์มีจำนวนมากขึ้น พวกเขาก็สร้าง ‘ซาคัวลี’ ที่สูงลิ่ว (ทุกวันนี้หอคอยดังกล่าวเป็นหอคอยที่สูงมาก) เพื่อใช้หลบภัยในกรณีที่โลกจะถูกทำลายเป็นครั้งที่สอง”            
นักวิทยาศาสตร์บางท่านได้ยืนยันว่าพีระมิดปรากฏในเอเชีย แอฟริกา และอเมริกา โดยไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างกัน ไม่ได้มาจากแหล่งเดียวกัน ดังที่นักแอตแลนติสวิทยาเชื่อ

อย่างไรก็ตาม หากปราศจากแหล่งกำเนิดร่วมกันแล้ว เหตุใดจุดหมายของพีระมิดจึงเหมือนกันทั้งในเม็กซิโกและบาบิโลน โยเซฟฮุส และอิกซตลิลโซชิตล์ ได้ระบุถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนว่า คนเหล่านั้นสร้างพีระมิดขึ้นเพื่อหลบภัยจากน้ำท่วมที่จะกวาดล้างโลกอีกเป็นครั้งที่สอง

ชาวอเมริกากลางจะคาดการณ์ถึงวันสิ้นสุดของโลกไว้เสมอ ดังนั้นจุดกำเนิดของการบวงสรวงของมนุษย์ของชาวแอซเต็ก ก็กระทำเพื่อคลายความพิโรธของพระเจ้า และปกป้องมนุษย์จากภัยพิบัติอีกครั้งหนึ่งนั่นเอง              
สฟิงซ์ก็เช่นเดียวกับพีระมิด กล่าวคือ พบสฟิงซ์ในยูคาตัน โดยได้รับรูปแบบมาจากมายา
เควตซัลโคตล์

 นักโบราณคดีจำนวนมากพิจารณาว่า สัญลักษณ์ไม้กางเขนนั้นมาจากแอตแลนติส เพราะอาณานิคมทั้งปวงที่ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ ต่างบูชาเครื่อหมายนี้ ในอเมริกาโบราณ ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ที่ทุกคนชื่นชอบ ภาพฝาผนังของชาวอียิปต์มีเทพเจ้าจำนวนมากอยู่เคียงข้างไม้กางเขนแบบ เทา และแบบ มัลตีส กษัตริย์และนักรบชาวอัสซีเรียและบาบิโลนต่างห้อยไม้กางเขนที่คอเสมือนเครื่องรางอันศักดิ์สิทธิ์           ลัทธิบูชาพระอาทิตย์ได้รับมาจากชนโบราณจากแอตแลนติส นักแอตแลนติสวิทยาต่างยกอ้างตัวอย่างเรื่องการบูชาพระอาทิตย์ในอียิปต์และเปรู และการครองราชย์ของราชวงศ์สุริยะ แผ่นปาปิรัสชื่อทูรินได้กล่าวถึงเร เทพเจ้าพระอาทิตย์ นอกจากนี้ยังกล่าวถึงภัยพิบัติอย่างมหันต์จากน้ำท่วมและไฟไหม้ จากเรื่องนี้นักวิจัยบางท่านสรุปว่า ลัทธิบูชาพระอาทิตย์ได้รับจากแอตแลนติสอันพินาศเข้าสู่อียิปต์            
ชาวอียิปต์เชื่อเรื่องอะเมนตี ดินแดนแห่งความตายทางตะวันตก หากอาณาจักรแห่งความตายหมายถึงอาณาจักรที่พระอาทิตย์ตกแห่งแอตแลนติสแล้ว ราชวงศ์พิลึกกึกกือของมนุษย์กึ่งเทพในอียิปต์ก็คือราชวงศ์ของผู้ครองราชย์สมบัติของแอตแลนติสนั่นเอง มีเรื่องโบราณเล่าต่อมาว่า เมื่อห้าร้อยปีก่อนหายนะครั้งสุดท้าย กษัตริย์ของแอตแลนติสได้อพยพไปยังอียิปต์ และก่อตั้งราชวงศ์มรณะ ด้วยทรงทราบล่วงหน้าถึงความหายนะของทวีปตน
           
นักบวชชาวแอซเต็กได้เก็บรักษาความทรงจำเรื่องอัซต์แลนไว้อย่างดียิ่ง อัซต์แลนนั้นเป็นดินแดนทางตะวันออก เควตซัลโคตล์ ได้เดินทางมาจากดินแดนนั้นในฐานะผู้นำวัฒนธรรมมาให้ ชาวอินคาเชื่อเรื่อง วิราโคชา ผู้มาจากดินแดนแห่งรุ่งอรุณ ชาวอียิปต์สมัยแรก ๆ บันทึกคำบอกของโธธ หรือ เทฮูติ ผู้มาจากดินแดนตะวันตก เพื่อปลูกฝังอารยธรรมและเรียนรู้เรื่องดินในลุ่มน้ำไนล์
           
ชาวกรีกโบราณได้ร้องเพลงทุ่งเอลีเซียน บนเกาะเล็ก ๆ ชื่อเลสต์ อยู่ไกลไปทางตะวันตก จากบทเพลงนี้กล่าวว่าทาร์ทารุส อันเป็นบ้านของคนตายได้ตั้งอยู่ใต้ภูเขาบนเกาะแห่งหนึ่งในมหาสมุทรทางตะวันตก ชาวอียิปต์และกรีกโบราณชี้ไปทางตะวันตก ที่มีเกาะลึกลับนั้น ส่วนชาวอเมริกันอินเดียนชี้ไปทางตะวันออกเพื่อบอกตำแหน่งของดินแดนแห่งเควตซัลโคตล์ หรือวิราโคชา ดินแดนทางตะวันตกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และทางตะวันออกของทวีปอเมริกานั้นไม่ใช่สิ่งใดเลย นอกจากแอตแลนติส ทวีปที่ดับสูญ จมอยู่ใต้มหาสมุทร
           
แม้ว่าชนโบราณหลายเชื้อชาติ มีศาสนาที่เชื่อในเรื่องความอมตะของวิญญาณ แต่ก็มีเพียงชาวเปรูและชาวอียิปต์เท่านั้น ที่เชื่อมั่นว่าวิญญาณยังวนเวียนอยู่เหนือร่างที่ตายไป และมีความสัมพันธ์กันอยู่ ทั้งสองเผ่านั้นเชื่อว่ามีความจำเป็นจะต้องรักษาสภาพศพไว้ เพื่อทำให้เป็นอมตะ          
ความเชื่อกษัตริย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ทางตะวันออก นับเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของชาวแอซเต็ก และอินคา จากขุนพลจำนวนหยิบมือเท่านั้น เมื่อโคลัมบัสไปถึงหมู่เกาะเวสต์อินดิส และพาคนขึ้นบก “ชาวพื้นเมืองจูงมือมารายล้อมจูบที่มือและเท้า และกล่าวสั้น ๆ ก็คือ พยายามจะแสดงให้พวกเขาเห็นในทุกวิถีทางว่า เขาทราบว่าคนผิวขาวมาจากพระเจ้า”

😃ลักษณะของหอคอยบาเบล 
มีลักษณะร่วมกับซิกกูแร็ตแห่งบาบิโลน
โมนโตซูมา กษัตริย์องค์สุดท้ายของแอซเต็กได้เล่าว่า “บิดาของเขามิได้เกิดที่นี่ แต่ท่านมาจากดินแดนห่างไกล ชื่อว่าอัซต์แลน มีภูเขาสูง มีสวนที่อาศัยของเทพเจ้า” โมนเตซูมายังกล่าวว่า ตนครองราชย์ในฐานะเพียงตัวแทนของเควตซัลโคตล์ อันเป็นผู้ปกครองของจักรวรรดิตะวันออก คัมภีร์ของมายาชื่อ โพโพลวูห์ ยืนยันว่า มีธรรมเนียมโบราณที่เจ้าชายจะเดินทางข้ามทะเลไปทางตะวันออกเพื่อ “รับมอบอำนาจในราชอาณาจักร”
         
ชัยชนะอย่างง่ายดายของคอร์เทส และปิซาร์โร เป็นข้อพิสูจน์อย่างดีที่สุด ถึงการมีอยู่จริงของแอตแลนติสในอดีตอันเลือนราง มีขนบธรรมเนียมของแอซเต็กและอินคา ที่สืบทอดมาโดยนักบวช นั่นคือการบูชาเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย ผู้มีร่างสูง ผิวขาว และมีหนวดเครา เมื่อชาวสเปนนักผจญภัยไปยังดินแดนดังกล่าว คนพื้นเมืองก็ออกมึกทักเอาทันทีว่าเป็นตัวแทนของจักรวรรดิในแอตแลนติสในมหาสมุทรแอตแลนติส ในคราวแรกโมนเตซูมาและอะตาฮวลปา อ้าแขนรับชาวผิวขาว เนื่องจากพวกเขาคาดหวังมาเป็นเวลานาน        
ความศรัทธาอย่างแน่นแฟ้นในเรื่องพระผู้เป็นเจ้าในดินแดนอาทิตย์อุทัย เป็นเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งของการพังทลายของจักรวรรดิอันทรงอำนาจแห่งเม็กซิโกและเปรู การที่จักรพรรดิของแอตแลนติสคาดว่าชาวอาณานิคมอเมริกาจะมาเยือน นับเป็นข้อพิสูจน์อย่างชัดเจนถึงอารยธรรมในโลกใหม่
คริสโตบัล โมลินา นักบวชชาวสเปน ที่เมืองคูซโก ประเทศเปรู ได้เขียนไว้เมื่อศตวรรษที่สิบหกว่า ชาวอินคามีเรื่องน้ำท่วมใหญ่อย่างครบถ้วนจากมังโก โคเปค
             
จากตำนากล่าวว่ามีรัฐหนึ่งอยู่ก่อนสมัยน้ำท่วม รัฐนั้นมีภาษาของตนและแน่นอนว่ารัฐดังกล่าวก็คือ แอตแลนติสอันพิลึกกึกกือนั่นเอง อิสราเอลและบาบิโลนในเอเชียไมเนอร์ และเม็กซิโกในอเมริกากลางนั้นแม้จะแยกจากกันด้วยระยะทางที่ไกลมาก แต่ก็ยังมีการสืบความเชื่อนี้ไว้ในงานเขียนอันล้ำค่าของตน              
คัมภีร์ไบเบิลบรรยายถึงสมัยเมื่อมีคนเพียงเผ่าเดียวและมีภาษาเดียวในโลก หลังจากก่อสร้างหอคอยบาเบลแล้ว ผู้คนไม่เข้าใจกัน เพราะเกิดภาษาถิ่นมากมาย นักประวัติศาสตร์ชาวบาบิโลนชื่อเบโรซุส ได้บันทึกถึงยุคที่ชาติหนึ่งในอดีต มีความภูมิใจในอำนาจและชื่อเสียง จนเริ่มจะดูหมิ่นและลบหลู่เทพเจ้า ในบาบิโลนมีการก่อสร้างหอคอยสูงเกือบถึงสวรรค์ แต่ก็มีลมมาช่วยเทพเจ้า และทำลายหอคอยนั้น ซากหอคอยดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันว่า “หอคอยบาเบล” ก่อนหน้านี้มนุษย์พูดเพียงภาษาเดียวเท่านั้น และน่าแปลกที่พงศาวดารทอลเท็กของเม็กซิโกมีเรื่องคล้ายคลึงกัน เกี่ยวกับการสร้างพีระมิดสูง และการปรากฏภาษาจำนวนมากมาย
รูปสุนัขกำลังคาบข้าวโพด 

หากเรื่องหอคอยบาเบลไม่ใช่นิทาน แต่เป็นประวัติศาสตร์แล้ว ก็หมายความว่ามีจักรวรรดิโลกจริง ๆ โดยมีภาษาโลกเพียงภาษาเดียว ในยุคที่ไม่มีใครจำได้  
เนื่องจากรัฐจะมีอยู่ไม่ได้ หากขาดการจัดการสื่อสาร และเทคโนโลยีก้าวหน้า การมีวิทยาศาสตร์ในยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ก่อนยุคน้ำท่วม 

นับเป็นความสำคัญอย่างมาก ที่เกษตรกรชาวอเมริกใต้และอเมริกากลางได้ปลูกสมุนไพรและอาหารจำนวนมากกว่าเผ่าใดในโลกนี้ ในยุคก่อนอินคา และสมัยอินคา มีมันฝรั่ง 240 สายพันธุ์ และข้าวโพด 20 ชนิด ที่พัฒนาขึ้นในแถบแอตดิสและอะเมซอนตอนบน แตงกวาและมะเขือเทศ มันฝรั่ง ฟักทอง และถั่ว รวมทั้ง สตรอเบอรี่ และช็อกโกแลต 

ต่างมีกำเนิดมาจากโลกใหม่ คือทวีปอเมริกานี้ทั้งสิ้น ความจริงแล้วอาหารที่ชาวยุโรปรับประทานทุกวันนี้ ครึ่งหนึ่งยังไม่มีใครรู้จัก จนกระทั่งมีการค้นพบอเมริกา นั่นหมายความว่าชาวเม็กซิโกและเปรูโบราณได้รับสืบทอดความรู้ทางการเกษตรมาจากแอตแลนติสใช่หรือไม่?

พบสัญลักษณ์ตัวเลข 0มีการเขียนครั้งแรกในแผ่นจารึกเปลือกไม้อายุ 1800 ปี


พบสัญลักษณ์ตัวเลข “0” มีการเขียนครั้งแรกในแผ่นจารึกเปลือกไม้อายุ 1,800 ปี

ปัจจุบันนี้เราเห็นตัวเลขศูนย์เป็นเรื่องธรรมดาไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่แนวคิดและที่มาของสัญลักษณ์ “0” เป็นอะไรที่จะต้องมีการประดิษฐ์คิดค้น อารยธรรมเก่าแก่ทั่วโลกต่างก็พัฒนาระบบจำนวนนับที่แตกต่างกันไป และมีสัญลักษณ์ที่ใช้แทนสิ่งที่ไม่มีค่าหรือศูนย์ของตัวเอง แต่จุดกำเนิดของตัวเลข “0” ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจน

การเขียนบันทึกของตัวเลขศูนย์ครั้งแรกถูกเชื่อว่าอยู่บนผนังโบสถ์ในประเทศอินเดียซึ่งมีอายุย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 9 แต่จากงานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดพบว่าเลขศูนย์ที่บันทึกไว้บนแผ่นจารึกเก่าแก่ที่พบในอินเดียมีอายุมากกว่าที่ผนังโบสถ์ไม่น้อยกว่า 500 ปี

ระบบจำนวนนับสมัยใหม่ใช้ระบบเลขฐาน 10 ซึ่งพอเปลี่ยนหลักก็จะใช้วิธีเติมเลขศูนย์ทางขวามือ ทำให้เราแยกความแตกต่างระหว่าง 1, 10 และ 100 ได้ดี ระบบจำนวนนับของชาวมายันและบาบิโลนโบราณก็ใช้สัญลักษณ์เลขศูนย์ที่คล้ายกัน ส่วนระบบตัวเลขของชาวอินเดียโบราณที่น่าจะวิวัฒนาการมาเป็นตัวเลข “0” ในปัจจุบันนั้นใช้สัญลักษณ์จุด “•” แทน

สัญลักษณ์ “•” นี้ปรากฏอยู่ในทั้งข้อความจารึกบนผนังของโบสถ์ในรัฐมัธยประเทศ (Madhya Pradesh) ของอินเดีย และในแผ่นจารึกที่ทำจากเปลือกไม้ที่ขุดพบที่หมู่บ้าน Bakhshali ในอินเดียโบราณ (ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน) เมื่อปี 1881 โบสถ์ดังกล่าวมีอายุย้อนหลังถึงศตวรรษที่ 9 ส่วนแผ่นจารึกจากการศึกษาก่อนหน้านี้ได้ประมาณอายุไว้ที่ระหว่างศตวรรษที่ 8 ถึงศตวรรษที่ 12
นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดได้หาอายุของแผ่นจารึกด้วยวิธีคาร์บอนกัมมันตรังสี กลับพบว่ามันมีอายุย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 3 หรือ 4 นั่นคือมีอายุราว 1,800 ปี มากกว่าที่เคยคิดไว้ถึง 500 ปี ทำให้สัญลักษณ์จุดบนแผ่นจารึกกลายเป็นการเขียนเลขศูนย์ครั้งแรกเท่าที่เคยพบมา

“ทุกวันนี้เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับเลขศูนย์ที่ถูกใช้กันทั่วโลกและยังเป็นตัวเลขหลักในระบบดิจิตอล  แต่การสร้างเลขศูนย์ที่วิวัฒนาการมาจากสัญลักษณ์จุดที่พบในแผ่นจารึก Bakhshali ถือเป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของคณิตศาสตร์” Marcus du Sautoy ศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดกล่าว “ตอนนี้เรารู้แล้วว่าตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนโน้นที่นักคณิตศาสตร์ชาวอินเดียได้ปลูกเมล็ดพันธ์ุของความคิดเอาไว้จนต่อมากลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญในโลกสมัยใหม่ การค้นพบนี้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในวิชาคณิตศาสตร์ที่ประเทศอินเดียเมื่อหลายศตวรรษก่อน”

ด้วยเทคนิคของคาร์บอนกัมมันตรังสีที่ใช้หาอายุของแผ่นจารึกทำให้ทราบว่าเหตุใดก่อนนี้จึงไม่สามารถชี้ชัดถึงอายุของมันได้ ทีมวิจัยพบว่าแผ่นจารึกที่ประกอบด้วยแผ่นเปลือกไม้จำนวน 70 ชิ้นทำมาจากวัสดุที่มาจาก 3 ช่วงอายุ

งานวิจัยนี้ดำเนินการโดยห้องสมุด Bodleian Libraries ของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดซึ่งเป็นผู้เก็บรักษาแผ่นจารึก Bakhshali มาตั้งแต่ปี 1902

วันแห่งการพิพากษา


วันพิพากษา (day of Judgment)
กวีชาวโรมันนามว่า โอวิด ได้เขียนไว้เกี่ยวกับน้ำท่วมใหญ่ และเขียนพงศาวดารสืบต่อจากของเพลโตว่า
 “ครั้งหนึ่งมีความเลวร้ายขึ้นบนโลก จนพระเจ้าผู้พิพากษา หนีไปสู่สวรรค์ และกษัตริย์แห่งทวยเทพตัดสินพระทัย จะหยุดยั้งเผ่าพงศ์ของมนุษย์ ...ความพิโรธของ  พระพฤหัสบดีมิได้จำกัดอยู่กับขอบเขตท้องฟ้าของพระองค์ เท่านั้น พระสมุทรได้ส่งคลื่นมาช่วย พระสมุทรฟาด  ทวนสามง่ามลงยังโลก ทำให้โลกต้องสั่นสะเทือน ... ไม่ช้าก็ไม่มีดินแดนจากทะเลใต้พื้นน้ำ พรายน้ำนามว่า  เรไยเดส จ้องไปยังป่าไม้ บ้านเรือ และในเมืองด้วย  ความพิศวง มนุษย์ดับสูญไปเกือบทั้งหมด เพราะไม่มี อากาศ ทำให้ตายด้วยความหิว”
จากเรื่องของอียิปต์โบราณ ทำให้เราทราบว่า นู เทพเจ้าแห่งน้ำ ทรงแนะนำพระโอรสคือเทพเจ้า เร หรือเทพเจ้าแห่งตะวัน ให้ทำลายล้างมวลมนุษย์เมื่อชาติต่าง ๆ หันมาทรยศเทพเจ้า เราอาจสรุปได้จากบันทึกนี้ว่า การทำลายล้างนี้สำเร็จลงได้ด้วยน้ำท่วมจากท่านนู เจ้าแห่งทะเลนั่นเอง
             
ปาปิรัสสมัยราชวงศ์ที่สิบสอง อายุ 3,000 ปีก่อน ซึ่งเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่เลนินกราด ได้ระบุถึง เกาะงูใหญ่ ความว่า “หลังจากเจ้าจากเกาะนี้ไปแล้ว เราจะไม่พบเกาะนี้อีก เพราะที่แห่งนี้จะมลายไปใต้คลื่นมหาสมุทร”
             
เอกสารของอียิปต์โบราณนี้บรรยายถึงอุกกาบาตที่ตกลงมา และน้ำท่วมใหญ่ที่ตามมา “เมื่อดาวร่วงจากสวรรค์ และเปลวไฟลามเลียทุกสิ่งอัน สิ่งทั้งมวลก็ไหม้ไฟ แต่ข้ารอดพ้นมาผู้เดียว ถึงกระนั้น เมื่อข้าเห็นซากศพเป็นภูเขาเลากา ข้าก็แทบจะสิ้นใจด้วยความโศกเศร้าอาลัย”
           
นับว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนึกภาพการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาโดยฉับพลัน ซึ่งทำลายล้างทวีปแอตแลนติส แต่นิทานพื้นบ้านและจารึกโบราณหลายเผ่าก็มีเรื่องของน้ำท่วมอย่างชัดเจน            
มหากาพย์กิลกาเมชอายุสี่พันปี ก็มีเรื่องรายละเอียดของน้ำท่วมใหญ่ และความเศร้าโศกถึงจุดจบของชนโบราณ “ความอดอยากทำลายล้างโลกมากกว่าเพราะน้ำท่วมใหญ่”
             
คัมภีร์ไบเบิลมีเรื่องเรืออาร์คของโนอาห์ และเรื่องน้ำท่วมใหญ่ ในเรื่องของเอโนช ผู้เตือนโนอาห์ถึงภัยพิบัติที่กำลังจะมา ก่อนที่ตนจะขึ้นไปยังสวรรค์ทั้งยังมีชีวิต มีข้อความที่สำคัญเกี่ยวกับ “ไฟทางตะวันตก” และ “ทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลทางตะวันตก”
           
ประมาณพันแปดร้อยปีก่อน ลูเซียนได้บันทึกเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งซึ่งแสดงว่าเรื่องน้ำท่วมใหญ่นั้น มีอยู่อย่างแน่นอนในยุคโบราณ กล่าวคือ นักบวชแห่งบาลเบกซึ่งบัดนี้ได้อยู่ในดินแดนเลบานอน มีพิธีศักดิ์สิทธิ์เป็นการรินน้ำทะเลจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสู่รอยหินแตกใกล้วิหาร เพื่อตรึงความทรงจำของน้ำในสมัยน้ำท่วมที่รินไหลเข้ามา และเพื่อตรึงความทรงจำเรื่องการช่วยชีวิตของเทพดูคาเลียนไว้ตลอดไป ในการนำน้ำทะเลมานั้น นักบวชจะต้องเดินทางไปยังขายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน จากนั้นจึงกลับไปยังบาลเบก ใช้เวลาถึงสี่วัน สำหรับรอยหินแตกนี้อยู่ที่ปลายด้านเหนือสุดของเกรตรีฟต์ซึ่งยืดยาวไกลไปทางใต้ จนถึงแม่น้ำแซมเบซี พิธีกรรมนี้อาจจะเป็นความทรงจำพื้นบ้านในเรื่องน้ำท่วมก็ได้              

นิทานของพวกบุชแมนได้กล่าวถึงเกาะขนาดมหึมาอยู่ทางตะวันตกของแอฟริกา แต่ต่อมาก็จมอยู่ใต้น้ำ นี่เป็นหนึ่งในตำนานจำนวนมากมายที่เกี่ยวกับการจมของแอตแลนติส
           
หลักฐานที่น่าแปลกใจเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกมีอยู่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก เรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติ หากเราถือว่าแอตแลนติสเคยเชื่อมต่อทางการค้าและวัฒนธรรมกับยุโรปและแอฟริกา และอเมริกา สำเนาจารึกเรื่องหนึ่งของชาวมายากล่าวว่า “ฟ้ามาถึงโลก และวันหนึ่งทุกสิ่งทั้งปวงจะพินาศ แม้ภูเขาก็จะดับสูญไปใต้ผิวน้ำ” สำเนาจารึกเดรสเดนของมายา แสดงถึงการทำลายล้างโลก โดยแสดงเป็นรูปภาพ ภาพหนึ่งมีงูในท้องฟ้า และกระแสน้ำพุ่งออกมาจากปาก จักรราศีของมายาบ่งบอกถึงการเกิดจันทรุปราคา และสุริยุปราคา ขณะเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์เจ้าแห่งความตายมีท่าทางตกตะลึงพรึงเพริดด้วยความกลัว ในมือถือถ้วยค่ำ น้ำที่จะมาทำลายน้ำไหลออก

สำเนาจารึกเดรสเดน สมัยก่อนโคลัมบัส
แสดงระบบคณิตศาสตร์สมัยก่อนที่ตะวันตกจะรับมาจากอินเดีย
คัมภีร์โพโพลวูห์ คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของมายาในกัวเตมาลา ได้กล่าวถึงความน่ากลัวของภัยพิบัติครั้งนั้น โดยกล่าวว่า เสียงคำรามของไฟได้ยินมาจากเบื้องบน พื้นโลกสั่นสะเทือนและสรรพสิ่งหมุนคว้างมาพุ่งชนมนุษย์ น้ำมันดินตกลงมาปนกับน้ำ ต้นไม่แกว่งไกว บ้านเรือนแตกแยกเป็นเสี่ยง ๆ จากนั้นกลางวันก็มืดสนิทเยี่ยงกลางคืน คัมภีร์ชิลัมบาลัม ของยูคาตัน ยืนยันว่าดินแดนกำเนิดของชาวมายาถูกน้ำทับท่วม ขณะเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดอย่างบ้าคลั่ง ในยุคเก่าก่อนอันไกลโพ้น ชาวอินเดียผิวขาวเผ่าหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่ในเวเนซูเอลา ชื่เผ่าปาเรีย อยู่ในหมู่บ้านที่มีชื่อน่าสนใจว่า อัตลัน หรือ แอตแลน (Atlan) พวกเขามีเรื่องเก่าเล่าถึงมหันตภัยที่ทำลายล้างดินแดนของตน อันเป็นเกาะใหญ่เกาะหนึ่งในมหาสมุทร การอ่านเรื่องปรัมปราของอเมริกันอินเดียนโดยละเอียด ทำให้ทราบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจที่ว่า ชนกว่า 130 เผ่า ต่างมีตำนานเรื่องน้ำท่วมโลก
           
เราจะใช้เรื่องปรัมปราและเรื่องพื้นบ้านเพื่อเติมช่องว่างขนาดใหญ่ในประวัติศาสตร์ได้ไหม ศาสตราจารย์ ไอ.เอ. เอเฟรมอฟ แห่งสหภาพโซเวียต ได้ตอบยืนยันเรื่องนี้ เขายืนยันว่า “นักประวัติศาสตร์จะต้องให้ความนับถือแก่เรื่องพื้นบ้านโบราณ” ศาสตราจารย์เอเฟรมอฟได้ตำหนินักวิทยาศาสตร์ในตะวันตกที่ทำตนเป็นผู้เชี่ยวชาญ เมื่อพิจารณาเรื่องเล่าของคนที่เรียกว่า “ชาวบ้านธรรมดา”
         
ตำนานของชาวเอสกิโมกล่าวว่า “ครั้นแล้วน้ำท่วมอย่างแรงกล้าก็มาถึง คนส่วนมากจมน้ำ และจำนวนคนลดน้อยลงทุกที” ชาวเอสกิโมและชาวจีนมีเรื่องปรัมปรากล่าวว่า พื้นดินกระเพื่อมอย่างแรง ก่อนมีน้ำท่วมใหญ่
         
การเคลื่อนของแกนโลกสามารถอธิบายถึงน้ำท่วมอย่างกว้างขวางในโลกได้ แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่ทราบถึงสาเหตุที่ก่อให้เกิดการสั่นไหวอย่างฉับพลันนั้น การชนกับอุกกาบาตขนาดใหญ่เป็นตัวก่อให้เกิดน้ำท่วมแอตแลนติส หรืออาจเป็นตามทฤษฎีโฮเออร์บิเกอร์ที่ว่า เชลยของดาวเคราะห์ที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า ดวงจันทร์ นักวิทยาศาสตร์บางท่านคิดว่า อ่าวแคโรไลนาเป็นผลจากอุกกาบาตโดยเฉลี่ยแล้วปล่องรูปวงรีมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณครึ่งไมล์ ขอบยกสูง ส่วนกลางลึกลง 25 – 50 ฟุต และเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน ที่พบลูกอุกกาบาตจำนวนมหาศาลในนอร์ธแคโรไลนา และเซาธ์แคโรไลนา
           
สมมุติฐานเรื่องเปลือกโลกเคลื่อนตัวที่เสนอโดยดอกเตอร์ชาร์ลส์ เอช. ฮาพกูด แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ให้ข้อพิจารณาตัดสินอย่างละเอียด ท่านได้ตั้งทฤษฎีว่าเปลือกโลกบาง ๆ จะเคลื่อนไปมาบนลูกทรงกลมที่เป็นของเหลว ส่วนตัวการที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนตัวก็คือน้ำแข็งที่ปกคลุมขั้วโลกนั่นเอง ด็อกเตอร์ฮาพกูด สามารถอธิบายการมีอยู่ของซากหินปะการังในเขตอาร์กติก หรือการเคลื่อนไปทางเหนือของธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัย
             
หากเปลือกโลกเคลื่อนที่ได้ การชนกับอุกกาบาตก็อาจเป็นเหตุให้เกิดการเคลื่อนของเปลือกโลกได้ นี่ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ แต่เป็นความเป็นไปได้ในทางดาราศาสตร์ ขอให้เราพิจารณาถึงโลกเราที่คลาดจากการชนดาวเคราะห์น้อยเมื่อเดือนตุลาคม ปี 1937 เพียงห้าชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
           
ศาสตราจารย์เอ็น.เอส. เวตชินกินแห่งรัสเซีย มีคำตอบแก่ปริศาเรื่องแอตแลนติส และการเกิดน้ำท่วมโลกว่า “การมีอุกกาบาตขนาดยักษ์ตกลงมาเป็นสาเหตุให้เกิดการทำลายล้างแอตแลนติส ก้อนอุกกาบาตขนาดมหึมาเหล่านั้น เราเห็นได้ชัดเจนบนพื้นผิวดวงจันทร์ มีปล่องหลุมดังกล่าวที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสองร้อยกิโลเมตร ขณะที่บนโลกมีขนาดกว้างเพียงสามกิโลเมตรเท่านั้น เมื่อตกลงสู่ทะเล อุกกาบาตขนาดยักษ์จะก่อให้เกิดคลื่น ที่ไม่เพียงแต่ซัดกวาดอาณาจักรสัตว์และพืชเท่านั้น หากยังกวาดภูเขาต่าง ๆ ด้วย”
             
บันทึกความทรงจำเรื่องน้ำท่วมแอตแลนติสนั้น ยังคงมีอยู่ในเรื่องปรัมปราของชนกลุ่มต่าง ๆ มากมาย และเราอาจอนุมานจากการศึกษาเรื่องเหล่านั้นได้ว่า ขอบเขตและคุณลักษณะของภัยพิบัติครั้งนั้น แปรเปลี่ยนไปตามตำแหน่งทางภูมิศาสตร์
           
ชาวอินเดียนเผ่าคีเชในกัวเตมาลาจำได้ถึงฝนสีดำที่ตกจากท้องฟ้า และเกิดขึ้นในคราวที่แผ่นดินไหวทำลายบ้านเรือนและถ้ำต่าง ๆ เรื่องนี้บ่งชี้ถึงการเคลื่อนไหวทางธรณีวิทยาอย่างรุนแรง ที่ปรากฏในมหาสมุทรแอตแลนติก ควันเถ้าถ่าน และสายน้ำจะทะเลที่บ้าคลั่ง ได้พุ่งขึ้นไปถึงบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ จากนั้นก็เคลื่อนลงมา เนื่องจากการหมุนของโลง พาฝนดำนี้ลงมาทั่วอเมริการกลาง ตำนานของชาวคีเชได้รับการยืนยันจากชาวอินเดียนในอะเมซอน พวกเขากล่าวว่า หลังจากการระเบิดอย่างรุนแรง โลกก็เข้าสู่ความมืดมิด ชาวอินเดียนในเปรูยังกล่าวอีกว่า มีน้ำสูงขึ้นถึงภูเขา
           
ในที่ราบลุ่มเมดิเตอร์เรเนียน เรายังได้ยินเรื่องเกี่ยวกับน้ำท่วมมากกว่าปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิด ในเรื่องปรัมปราของกรีกโบราณ กล่าวว่ามีคลื่นสูงถึงยอดไม้ ซัดปลามาค้างกิ่งเมื่อน้ำลด คัมภีร์เซนต์อะเวสตะ ของเปอร์เซีย ยืนยันว่า ในเปอร์เซียมีน้ำท่วมสูงท่วมหัว
           
เมื่อเดินทางไปไกลทางตะวันออก เราพบเอกสารโบราณกล่าวว่า ในประเทศจีน น้ำทะเลลดลงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ เนื้อหาสังเขปของน้ำท่วมโลกนั้น ปะติดปะต่อกันได้เป็นเรื่องเดียวกัน คลื่นยักษ์ในแอตแลนติสคงจะก่อให้เกิดน้ำลดในอีกซีกโลก นั่นคือมหาสมุทรแปซิฟิก
           
มีข้อถกเถียงยืนยันที่น่าสนใจควรแก่การยกมากล่าวอ้าง กล่าวคือในเม็กซิโกโบราณ มีวันหยุดสำคัญที่อุทิศแก่เหตุการณ์ในอดีต ที่กลุ่มดาวให้บอกดวงชะตาใหม่ให้ และมีเรื่องต่อมาว่า ในยุคเก่าแก่นั้น ท้องฟ้ามิได้ปรากฏเช่นในปัจจุบัน
             
มาร์ทินุส มาร์ทินี มิชชันนารีในศตวรรษที่สิบเจ็ดได้เดินทางไปประเทศจีนและเขียนหนังสือเรื่อง ประวัติศาสตร์ประเทศจีน (History of China) เกี่ยวกับบันทึกเก่าแก่ที่สุดของจีน โดยกล่าวถึงเวลาที่ท้องฟ้าตกไปทางเหนือในฉับพลัน พระอาทิตย์ พระจันทร์ และดาวเคราะห์ต่างเปลี่ยนวิถีการโคจรหลังจากโลกสั่นสะเทือน แน่นอนว่านี่เป็นเบาะแสที่สำคัญเกี่ยวกับการสั่นสะเทือนของโลก เพราะเราสามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่บรรยายไว้ในเอกสารของจีนนี้โดยไม่ต้องอ้างอิงเอกสารอื่นเลย
จารึกทางดาราศาสตร์บนเพดานสุสานของเซนมุต

แผนที่ดาวสองชิ้นที่เขียนไว้ในเพดานหลุมศพของเซนเมาธ์ ผู้เป็นสถาปนิกของพระราชินีฮัตเชบซุต ได้เสนอปริศนาไว้อย่างหนึ่ง กล่าวคือทิศหลักนั้นอยู่ตรงกับแผนที่ทางดาราศาสตร์อย่างถูกต้อง แต่ทิศอื่น ๆ วางกลับกัน ราวกับโลกเคยเคลื่อนตัวมาแล้ว ความจริงแล้ว ฮาร์ริส ปาปิรัสก็ระบุว่า โลกได้พลิกกลับเมื่อเกิดภัยพิบัติอย่างกว้างไกล เฮอร์มิเทจ ปาปิรัส ที่เลนินกราดและอิปูเวอร์ ปาปิรัส ก็ยังกล่าวว่าโลกได้พลิกกลับด้าน
             
ชาวอินเดียนที่อาศัยในพื้นที่ตอนล่างใกล้แม่น้ำแมคเคนซีในแคนาดาตอนเหนือ กล่าวยืนยันว่าในช่วงน้ำท่วมใหญ่นั้น คลื่นที่ร้อนจนทนไม่ได้ได้เคลื่อนมายังเขตอาร์กติก หลังจากความร้อนนั้นก็มีอากาศหนาวยะเยือกอย่างฉับพลัน การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศในเปลือกโลกจะก่อให้เกิดสภาพอากาศแบบสุดขีด ดังที่ชาวอินเดียนในแคนาดากล่าวไว้
              
จากหลักฐาน ทำให้เราทราบว่าสมัยเมื่อถึงวันวิปโยคของแอตแลนติสนั้น มีความรุนแรงและน่ากลัวอย่างยิ่ง

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ออสเตรเลีย! พบหลุมอุกกาบาตใหญ่ที่สุดในโลก


ออสเตรเลีย! พบหลุมอุกกาบาตใหญ่ที่สุดในโลก

กลับมาพบกันอีกครั้งกับเรื่องราวของความเป็นที่สุดในโลกของเราในวันนี้ครับ ยังคงมีเรื่องราวที่น่าสนใจจากทั่วทุกมุมโลกมาให้ได้ติดตามรับชมกันอย่างต่อเนื่องเช่นเคย โลกของเรายังคงเต็มไปด้วยเรื่องที่น่าสนใจมากมาย วันนี้เรามีอะไรมาฝากกันไปดูกันเลยครับ

ในประเทศออสเตรเลียจำนวน 2 รอยด้วยกัน 250 ไมล์
"บูร"ลุ่มน้ำระหว่างเขตแดน
รัฐเซาท์ออสเตรเลียกับรัฐควีนส์แลนด์และนอร์ทเทิร์นเทร์ริทอรีมีความลึกราว 1.2 ไมล์ใต้ผิวโลก 5 แล้ว ขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกเท่านั้น 2 รอย 120 ไมล์

เกี่ยวกับเรื่องนี้ทางด้าน
ของ ดร แอนดรูว์กลิคสันจามหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียออกมาเปิดเผยว่า 2 ส่วนตกกระทบพื้นโลก แต่ตัวอย่างที่พบจากรอยแผลของทั้ง 2 ทำให้เชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้น

ดร. กลิคสันกล่าวว่าอุกกาบาตที่ตกลงพื้นโลกทั้ง 2 ส่วนจะต้องมีขนาดใหญ่กว้างมากกว่า 10 กิโลกเมตร การตกกระทบครั้งยิ่งใหญ่นี้ มากกว่าที่เราเคยคิดกันเอาไว้

อย่างไรก็ตามดร. กลิคสันยังบอกอีกด้วยว่านี่เป๋นเรื่องที่ลึกลับพอสมควร 300 ล้านปีมาแล้ว Tectonophysics ด้วยน่ะครับลองไปหามาอ่านกันได้
มนุษย์เราเปรียบเหมือนกับจุดเล้ก ๆ บนจักรวาล

Kap Dwaมัมมี่ยักษ์สองหัวที่อาจเป็นหลักฐานยืนยันว่าโลกของเราในอดีตเคยมียักษ์อยู่จริง


ย้อนอดีต! การค้นพบ ‘Kap-Dwa’ มัมมี่ยักษ์สองหัวที่อาจเป็นหลักฐานยืนยันว่าโลกของเราในอดีตเคยมียักษ์อยู่จริง

ย้อนกลับไปในปี 1673 มีเรื่องราวของยักษ์ “Kap-Dwa” ปรากฏอยู่ในเอกสารบันทึกของสหรัฐและอังกฤษ ว่าด้วยเรื่องการพบเห็นมนุษย์ร่างยักษ์ที่มีส่วนสูงถึง 3.6 เมตร และมีสองหัว โดยในบันทึกยังระบุเพิ่มเติมว่า ยักษ์ Kap-Dwa มีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าลึกของประเทศอาร์เจนตินา ก่อนที่มันจะถูกชาวสเปนที่แล่นเรือผ่านป่าดังกล่าวจับกุมเอาไว้ได้ 

โดยก่อนที่จะสามารถจับกุมยักษ์ Kap-Dwa ได้ ลูกเรือต้องปะทะกับยักษ์ Kap-Dwa เป็นเหตุให้มีลูกเรือเสียชีวิตไป 4 ศพ ส่วนยักษ์ Kap-Dwa ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกหอกแทงทะลุหัวใจ ก่อนที่จะเสียชีวิตบนเรือ
ในเวลาต่อมา

ด้วยความแปลกของยักษ์ Kap-Dwa ที่มีสองหัวและร่างกายที่สูงใหญ่ หากปล่อยให้ร่างเน่าเปื่อยไปก็อาจจะดูไร้ค่าไปซักหน่อย กัปตันเรือจึงได้เปลี่ยนร่างยักษ์ Kap-Dwa ให้กลายเป็นมัมมี่เพื่อที่จะได้รักษาสภาพศพของมันเอาไว้ โดยหวังขายร่างยักษ์ Kap-Dwa ให้กับพ่อค้าในงานแสดงของแปลก
หลังจากนั้นร่างของยักษ์ Kap-Dwa ก็ถูกซื้อขายและเปลี่ยนมือเจ้าของอยู่หลายครั้ง มันถูกจัดแสดงไปทั่วพื้นที่ต่างๆ ของสหรัฐฯ และอังกฤษ โดยมีบันทึกเข้ามาจัดแสดงในสหรัฐฯ เมื่อปี 1980 และในอังกฤษตั้งแต่ปี 1900

ผ่านไปหลายศตวรรษปัจจุบันร่างของยักษ์ Kap-Dwa ถูกจัดแสดงอยู่ใน The Antique Man ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ของแปลกที่ตั้งอยู่ในเมือง Baltimore รัฐแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา แม้หลายปีที่ผ่านมาจะมีผู้สงสัยว่าเรื่องราวของยักษ์ Kap-Dwa อาจไม่เคยมีอยู่จริง หรือกระทั่งร่างของมัมมี่ที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ อาจเป็นของปลอมซะด้วยซ้ำ 

ทว่าเมื่อผู้เชี่ยวชาญเข้าไปตรวจสอบร่างมัมมี่กลับไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่ามัมมี่ Kap-Dwa เป็นของปลอมเลยแม้แต่นิดเดียว นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าส่วนของหัวที่ติดกัน ไม่ได้เกิดจากการนำหัวของมนุษย์คนอื่นมาเย็บติดกันอย่างที่หลายคนเข้าใจ เนื่องจากมันไม่มีรอยเย็บ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าเรื่องราวของยักษ์ Kap-Dwa น่าจะเคยมีตัวตนอยู่จริงในอดีต

อย่างไรก็ดียังมีบันทึกเก่าแก่ของกัปตันชาวดัตช์รายหนึ่ง ที่ระบุว่าตนเองพบเห็นยักษ์ขณะทำการสำรวจชายฝั่งทางตอนใต้ของอาร์เจนตินา เมื่อปี 1603 โดยพบว่ามีเรือ 7 ลำกำลังมุ่งหน้ามาที่เรือของเขา จากการมองในระยะไกลทำให้เขาเห็นยักษ์ที่อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไม่สวมใส่เสื้อผ้า ยืนอยู่บนเรือเต็มไปหมด 
โดยยักษ์ทุกตัวมีผมยาว และมีสีผิวคล้ำเหมือนพวกคนป่า นอกจากนี้พวกยักษ์ยังแสดงอาการไม่พอใจเมื่อเห็นว่าเราพยายามล่องเรือไปหาพวกยักษ์อีกด้วย ก่อนที่กัปตันจะตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือเพื่อความปลอดภัย

รายการบล็อกของฉัน