หน้าเว็บ

Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562

พบรอยสักรูปสัตว์เก่าแก่ที่สุดในโลกบนร่างมัมมี่อียิปต์อายุ 5,000 ปี

👦ทีมงานที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษ (British Museum) ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ได้ใช้เทคโนโลยีการถ่ายภาพด้วยรังสีอินฟราเรดค้นพบรอยสักจากมัมมีอียิปต์เก่าแก่อายุ 5,000 ปีจำนวน 2 ร่าง ร่างมัมมี่ผู้ชายพบรอยสักรูปวัวป่าและแกะ อีกร่างเป็นมัมมี่ผู้หญิงพบรอยสักรูปตัว S เป็นการค้นพบรอยสักที่มีลวดลายเป็นรูปร่างเก่าแก่ที่สุดในโลก 

หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการพบรอยสักจากมัมมี่ที่เก่าแก่กว่านี้แต่ลักษณะรอยสักเป็นเพียงเส้นตรงหลายๆเส้น
มัมมี่ 2 ร่างที่ค้นพบรอยสักนั้นมีอายุย้อนหลังกลับไปยุคก่อนราชวงศ์อียิปต์ราว 3351 – 3017 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือกว่า 5,000 ปีมาแล้ว มัมมี่ดังกล่าวเรียกกันว่า Gebelein mummies ขุดพบที่เมือง Gebelein ในอียิปต์ระหว่างทศวรรษ 1890 และพิพิธภัณฑ์อังกฤษได้เก็บรักษาไว้หลายร่างตั้งแต่ทศวรรษ 1990 มัมมี่เหล่านี้มีสภาพดีมากและจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษมานานมากกว่า 100 ปีแล้ว

บนร่างมัมมี่ผู้ชายที่มีชื่อเรียกว่า Gebelein Man A เป็นวัยรุ่นอายุ 18 – 21 ปี ซึ่งตายเพราะถูกแทงข้างหลัง แต่เดิมเห็นเป็นเพียงรอยดำๆปรากฏที่ท่อนแขนด้านบน แต่เมื่อใช้การถ่ายภาพด้วยรังสีอินฟราเรดจึงพบว่ารอยดำที่เห็นนั้นแท้จริงแล้วมันคือรอยสักรูปสัตว์มีเขา 2 ตัวคือวัวป่าและแกะบาร์บารี

ส่วนบนร่างมัมมี่ผู้หญิงพบรอยสัก 4 รอยมีรูปร่างคล้ายตัว S อยู่บนหัวไหล่ข้างขวา รอยสักบนมัมมี่ทั้งสองร่างถูกทำขึ้นที่ชั้นผิวหนังแท้โดยใช้หมึก
ชนิดคาร์บอน ลวดลายที่พบเป็นศิลปะในยุคก่อนราชวงศ์อียิปต์ รูปกระทิงและแกะถูกพบบนก้อนหิน ลวดลายรูปตัว S ถูกพบบนภาชนะเครื่องปั้นดินเผาจากยุคเดียวกัน
รอยสักที่ค้นพบนี้เป็นรอยสักรูปสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เก่าแก่กว่าที่เคยพบก่อนหน้านี้ในทวีปแอฟริกาเป็นพันปี แต่มันยังไม่ใช่รอยสักที่เก่าแก่ที่สุดในโลกซึ่งเป็นของมัมมี่ที่ชื่อ Ötzi the Iceman 

ซึ่งอาศัยอยู่ในยุโรปในช่วงราว 3400 – 3100 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถูกค้นพบในปี 1991 มันมีรอยสักลักษณะเป็นเส้นสั้นๆอยู่ทั่วร่างกายรวม 61 เส้น โดยนักวิจัยได้ตั้งสมมุติฐานว่ารอยสักบนมันมี่ Ötzi น่าจะเป็นรอยจากการรักษาโรค
รอยสักบนมัมมี่ Gebelein Man A ยังเป็นหลักฐานยืนยันว่ามีทำรอยสักในผู้ชายชาวอียิปต์โบราณด้วย ไม่ได้มีเฉพาะในผู้หญิงชาวอียิปต์เท่านั้นอย่างที่เข้าใจกันแต่แรก
“การค้นพบครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการทำรอยสักเกิดขึ้นในช่วงเวลาของยุคก่อนราชวงศ์อียิปต์ และมันเป็นหลักฐานการทำรอยสักที่เก่าแก่กว่าที่แอฟริกาเป็นพันปี” นักวิจัยกล่าว
“มันทำให้เรารู้ว่ามีการใช้รอยสักมาตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของอารยธรรมอียิปต์โบราณ”

Crannog เกาะเล็กๆในทะเลสาบสกอตแลนด์ถูกสร้างมาก่อน สโตนเฮนจ์หลายร้อยปี

Crannog เกาะเล็กๆ
ในทะเลสาบสกอตแลนด์
ถูกสร้างมาก่อน ‘สโตนเฮนจ์’ หลายร้อยปี

นักวิชาการเคยเชื่อว่าเกาะเล็กๆที่พบอยู่ในทะเลสาบของประเทศสกอตแลนด์ที่เรียกว่า Crannog ถูกคนในสมัยโบราณสร้างขึ้นในยุคเหล็ก 
(Iron Age) เมื่อราว 3,000 ปีก่อน แต่จากหลักฐานที่ค้นพบล่าสุดบ่งชี้ว่ามันน่าจะถูกสร้างก่อนหน้านั้นเป็นพันปี และอาจถูกสร้างมาก่อน ‘สโตนเฮนจ์’ อีกหลายร้อยปีด้วย
Crannog เป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่มีมานานนมพบเห็นได้ตามทะเลสาบหรือแม่น้ำในประเทศสกอตแลนด์, เวลส์ และไอร์แลนด์จำนวนหลายร้อยถึงพันแห่งในแต่ละประเทศ โครงสร้างของ Crannog มีหลายรูปแบบส่วนใหญ่ใช้ท่อนซุงปักลงในดินเป็นเสาเข็มเรียงล้อมเป็นรูปวงกลม เสาเข็มไม้ซุงถูกยึดโยงเข้าด้วยกันอย่างดีด้วยข้อต่อแบบร่องและเดือยในตัว (Mortise and Tenon) ภายในจัดเรียงด้วยหิน ถมทับด้วยดิน ท่อนไม้ และสิ่งของมากมาย
ด้านบนปลูกสร้างเป็นที่อยู่อาศัย มีร่องรอยการขยายขนาดของ Crannog ซึ่งน่าจะเพื่อรองรับครอบครัวและชุมชนที่เติบโตขึ้น Crannog ที่เป็นเหมือนเกาะเล็กๆมีน้ำล้อมรอบเหล่านี้กลายเป็นสถานที่เก็บรักษาสิ่งของเครื่องใช้ของมนุษย์สมัยโบราณเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม มีการขุดพบกระดูกวัว กวางและหมู เครื่องใช้ที่ทำจากไม้ แม้กระทั่งผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมซึ่งยังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างสมบูรณ์แม้จะผ่านเวลาไปแล้วหลายพันปีก็ตาม

จากการขุดค้นที่เริ่มมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 และด้วยการหาอายุสิ่งของโดยคาร์บอนกัมมันตรังสีทำให้นักโบราณคดีเชื่อว่า Crannog ซึ่งบางแห่งยังคงถูกใช้งานจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1760 นั้นน่าจะมีการก่อสร้างครั้งหลังสุดในราว 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช แต่ในปี 2012 Chris Murray ผู้พักอาศัยที่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่งในสกอตแลนด์ที่เรียกว่า Isle of Lewis ได้พบภาชนะจากยุคหินที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีที่บริเวณ Crannog จึงได้มีการสำรวจร่วมกับ Mark Elliot จากพิพิธภัณฑ์ Museum nan Eilean และมหาวิทยาลัยเซาท์แฮมป์ตัน จนได้ค้นพบกับภาชนะที่คล้ายๆกันที่ Crannog อื่นอีก 5 แห่งบนเกาะนั้น
ทีมงานได้ทำการสำรวจทั้งบนบกและในน้ำด้วยวิธีการและเทคนิคหลายอย่าง รวมทั้งการสำรวจถ่ายภาพ (Photogrammetry), 
การเจาะเพื่อตรวจสอบสภาพแวดล้อมบรรพกาล
(Palaeoenvironment), 
การขุดค้น (Excavation) และการตรวจหาอายุด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสี พวกเขาสรุปว่า Crannog มีอายุระหว่าง 3,640 ถึง 3,360 ก่อนคริสต์ศักราช หรือราว 5,500 ปีมาแล้ว ซึ่งหมายถึงพวกมันถูกสร้างขึ้นก่อนสโตนเฮนจ์ถึง 500 ปี

นอกเหนือจากเรื่องอายุแล้ว
ทีมวิจัยยังได้ตั้งข้อสังเกต
เกี่่ยวกับเศษเซรามิกชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งว่ามันได้บ่งชี้ว่าภาชนะนั้นอาจถูกวางไว้ใต้น้ำเพื่อวัตถุประสงค์ในพิธีกรรมบางอย่าง อย่างไรก็ตามยังมีงานอีกมากที่ต้องทำเพราะมีเพียง 10% ของ Crannog เท่านั้นที่ได้มีการตรวจหาอายุด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสีแล้ว

“Crannog เหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามอันยิ่งใหญ่ในการสร้างเกาะเล็กๆด้วยการเรียงกองหินจำนวนมากลงบนพื้นทะเลสาบ” 
Fraser Sturt นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเซาท์แฮมป์ตันกล่าว “ดูเหมือนเป็นไปได้อย่างสูงที่จะพบ Crannog ยุคหินอีกจำนวนมาก งานวิจัยของเราได้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบที่หลากหลายในยุคก่อนประวัติศาสตร์ และ Crannog เหล่านี้จะช่วยให้ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับอดีตของมนุษยชาติได้ดี

รู้แล้วเรื่องลึกลับ 350 ปี Man In The Iron Maskคนหน้าเหล็กตัวจริงเป็นใคร

รู้แล้ว! เรื่องลึกลับ 350 ปี 
‘Man In The Iron Mask’ คนหน้าเหล็กตัวจริงเป็นใคร
เรื่องลึกลับของฝรั่งเศสที่มีอายุยาวนาน 350 ปีได้รับการเปิดเผยแล้ว ในหนังสือเล่มใหม่ของ Paul Sonnino ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย อ้างว่าเขาได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของชายสวมหน้ากากเหล็กผู้ลึกลับแล้ว
ชายสวมหน้ากากเหล็กเป็นนักโทษที่ถูกจับกุมในปี 1669 และถูกคุมขังในเรือนจำบัสตีย์และเรือนจำอื่นๆในฝรั่งเศสนานกว่าสามทศวรรษ จนกระทั่งเขาตายในปี 1703 ตัวตนของเขาเป็นความลึกลับมาอย่างยาวนานเพราะตลอดเวลาที่เขาถูกคุมขังใบหน้าของชายคนนั้นได้ถูกซ่อนอยู่ใต้หน้ากาก เรื่องนี้โด่งดังมากในปี 1998 เมื่อถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเรื่อง “The Man in the Iron Mask คนหน้าเหล็กผู้พลิกแผ่นดิน” 
ที่นำแสดงโดยลีโอนาโด ดิคาปริโอ
มันเป็นเรื่องลึกลับที่มักจะพยายามบ่ายเบี่ยง แม้แต่นักปรัชญาผู้เลื่องชื่อ Voltaire และนักเขียน Alexandre Dumas นักประวัติศาสตร์
ได้ลดความเชื่อถือในทฤษฎี
ที่ถูกทำให้แพร่หลาย
โดย Voltaire และ Dumas 
ที่ว่าชายสวมหน้ากากเป็นพี่น้องฝาแฝดของพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่

“พวกเขา (นักประวัติศาสตร์) เห็นพ้องกันอย่างมากว่าชื่อของเขาคือ Eustache Dauger เขาสวมหน้ากากเป็นครั้งคราวเท่านั้น และเมื่อเขาสวมหน้ากาก มันจะเป็นหน้ากากกำมะหยี่ไม่ใช่เหล็ก” Sonnino กล่าว “พวกเขายังค่อนข้างแน่ใจว่าเขาเป็นคนรับใช้ สิ่งที่พวกเขายังไม่สามารถบอกได้ก็คือเขาเป็นคนรับใช้ของใคร และเขาถูกคุมขังภายใต้การรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนามานานกว่า 30 ปีด้วยสาเหตุอะไร”

จากการวิจัยของเขา Sonnino ระบุว่า Dauger เป็นคนรับใช้ของเหรัญญิกของพระคาร์ดินัล Mazarin ซึ่งเป็นรัฐมนตรีคนสำคัญของฝรั่งเศสในช่วงที่พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ยังเป็นเด็ก  Mazarin สะสมทรัพย์สมบัติได้จำนวนมากและ Sonnino เชื่อว่า Dauger คิดว่าสมบัติบางส่วนเป็นของโจร

“สิ่งที่ผมสามารถระบุได้ก็คือ Mazarin ได้ขโมยสมบัติบางส่วนมาจากกษัตริย์และราชินีแห่งอังกฤษพระองค์ก่อน” 
Sonnino กล่าว “Dauger ต้องมีการเปิดเผยความลับผิดที่
ผิดเวลา เมื่อเขาถูกจับเขาจึงถูกข่มขู่ว่าหากเขาเปิดเผยตัวตน
ให้ใครรู้ เขาจะถูกฆ่าตายทันที

ต้นไม้ที่มีอายุมากที่สุดในโลกอยู่ที่ไหนอายุเป็นหมื่นปีจริงหรือเปล่า


🌲ต้นไม้ได้ตั้งรกรากอยู่บนโลกมานานถึง 385 ล้านปีแล้ว ตั้งแต่ช่วงปลายยุคดีโวเนียน พวกมันผ่านการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงจากรุ่นสู่รุ่นมาอย่างยาวนานแต่ต้นไม้ที่อายุมากที่สุดในโลก
อยู่ที่ไหน?

ก่อนหน้านั้นต้นไม้ที่อายุมากที่สุดในโลกยังเป็นMethuselah ซึ่งเป็นต้นไม้พันธุ์ Great Basin Bristlecone Pine
(Pinus longaeva) ที่มีอายุ 4,845 ปี ในเทือกเขา White Mountains รัฐแคลิฟอร์เนีย
จนกระทั่งในปี 2013 นักวิจัยที่ Rocky Mountain Tree-Ring Research Group ได้ประกาศว่าพบต้น Pinus longaeva
อีกต้นหนึ่งอยู่ที่ White Mountains เหมือนกัน
มีอายุถึง 5,062 ปี
ต้นไม้ที่เก่าแก่ที่สุดของยุโรป
ซึ่งประกาศในปี 2016 นี้เอง เป็นต้นไม้พันธุ์ Bosnian pine (Pinus heldreichii)
อายุ 1,075 ปี อยู่ที่ประเทศกรีซ ตั้งชื่อว่า Adonis ตามเทพเจ้าของกรีก ปลูกตั้งแต่ปี 941
ในช่วงที่นักรบไวกิงยังคงจู่โจมตามแนวชายฝั่งของยุโรป
แม้ว่าต้นไม้เหล่านี้จะเป็นต้นไม้ต้นเดียวที่มีอายุมากที่สุดในโลก แต่พวกมันยังไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีอายุที่สุด ยังมีกอไม้ที่มี
ต้นหลายๆต้นแต่มีรากเดียวอีกจำนวนไม่น้อยที่มีอายุมากกว่า

ยกตัวอย่างเช่น Pando หรือ “trembling giant” กอไม้ขนาดใหญ่เป็นอาณานิคมประกอบด้วยต้นไม้พันธุ์ quaking aspen
(Populus tremuloides) กว่า 40,000 ต้น ตั้งอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติ Fishlake ในรัฐยูทาห์ มีอายุประมาณ 80,000 ปี
ในปี 2008 สถานการณ์ที่แปลกประหลาดนำไปสู่​​การค้นพบของต้นไม้เดี่ยวที่อายุมากที่สุดในโลกจากกอไม้ คือ Old Tjikko ต้นไม้พันธุ์ Norway spruce อายุ 9,550 ปี ตั้งอยู่ในเทือกเขา Fulufjället ในสวีเดน Old Tjikko ถูกสงสัยว่าจะเป็นต้นไม้ที่เหลืออยู่เพียงต้นเดียวของ
กอไม้เก่าแก่แบบเดียวกับ Pando

อายุจริงของต้นไม้จะถูกคำนวณโดยใช้คาร์บอน -14 ที่รากของมัน นักวิทยาศาสตร์พบต้น spruce 4 รุ่นอยู่ที่บริเวณนั้น ทั้งหมดที่มีพันธุกรรมเหมือนกัน ต้น spruce สามารถแผ่ขยายรากเพื่องอกต้นใหม่ได้

มหาวิทยาลัย Umeå ยังมีรายงานว่ามีกอต้น spruce
อีกประมาณ 20 กอ ถูกพบในภูเขาของสวีเดนซึ่งคาดว่า
มีอายุมากกว่า 8,000 ปี ต้นไม้พวกนี้สามารถอยู่รอดภายใต้สภาพอากาศที่รุนแรงมาก แต่สภาพอากาศร้อนขึ้นจะทำให้มันเจริญเติบโตได้ต่อไป
เมื่อเปรียบเทียบต้นไม้โบราณเหล่านี้กับสัตว์ที่มีอายุมากที่สุด เช่น เต่าอายุ 250 ปี หรือแม้กระทั่งฉลามกรีนแลนด์
อายุ 400 ปี สัตว์พวกนี้กลาย
เป็นเด็กๆไปเลย

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ทำไมชาวยุโรปโบราณถึงได้หายสาบสูญไป 14,500 ปีมาแล้ว



การวิเคราะห์ทางพันธุกรรมใหม่พบว่า ชนพื้นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของยุโรปบางส่วนได้หายไปอย่างลึกลับในช่วงปลายยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย และถูกแทนที่โดยชนเผ่าอื่นเป็นจำนวนมาก

การค้นพบมาจากการวิเคราะห์ฟอสซิลโบราณจำนวนมากที่ยังคงเก็บรวบรวมไว้ทั่วยุโรป

การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมน่าจะเป็นผลมาจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งชาวยุโรปที่อาศัยอยู่ก่อนหน้านั้นไม่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วพอ

การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในช่วงเวลานั้นรุนแรงอย่างมาก เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศกำลังเกิดขึ้นในศตวรรษนี้ นักวิจัยกล่าวว่า “คุณจะต้องคิดว่ายังมีสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงด้วย”

ผังครอบครัวที่บิดเบี้ยว
ชาวยุโรปมีมรดกทางพันธุกรรมที่ยาวนานและพัวพันกัน การศึกษาทางพันธุกรรมได้เผยให้เห็นว่ามนุษย์สมัยใหม่คนแรกที่ออกจากทวีปแอฟริกา ระหว่าง 40,000 และ 70,000 ปีที่ผ่านมา มีความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงกับมนุษย์ยุคหินพื้นเมือง ที่จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติทางการเกษตรระหว่าง 10,000 ถึง 12,000 ปีที่ผ่านมา เกษตรกรจากตะวันออกกลางค่อยๆเข้ามาทดแทนชนเผ่าล่าสัตว์พื้นเมืองไปทั่วยุโรป ราว 5,000 ปีก่อนคนเลี้ยงม้าเร่ร่อนที่เรียกว่า Yamnaya ปรากฏออกมาจากที่ราบกว้างใหญ่ของยูเครนและผสมเข้ากับชาวพื้นเมือง 

นอกจากนี้การศึกษาเมื่อปี 2013 พบว่ายังมีชาวยุโรปโบราณอีกกลุ่มหนึ่งได้หายไปอย่างลึกลับประมาณ 4,500 ปีที่ผ่านมา

แต่เราจะรู้เรื่องค่อนข้างน้อยเกี่ยวกับการเข้ายึดครองของมนุษย์ในยุโรป ในระหว่างเหตุการณ์ที่ออกจากแอฟริกาเป็นครั้งแรกจนถึงจุดสิ้นสุดของยุคน้ำแข็งสุดท้ายราวๆ 11,000 ปีที่ผ่านมา ในบางช่วงระหว่างเวลานั้น Weichselian Ice Sheet แผ่นน้ำแข็งที่กว้างใหญ่ปกคลุมส่วนใหญ่ทางภาคเหนือของยุโรป ในขณะที่ธารน้ำแข็งในเทือกเขาพิเรนีสและเทือกเขาแอลป์ที่ปิดกั้นข้ามทวีปทางทิศตะวันออก – ตะวันตก

เชื้อสายที่หายไป
เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดขึ้นของมรดกทางพันธุกรรมของยุโรปในช่วงเวลาที่หนาวเย็นนี้ นักวิจัยได้วิเคราะห์ไมโทคอนเดรียดีเอ็นเอ (สารพันธุกรรมที่ส่งผ่านจากแม่ไปสู่​​ลูกสาว) จากฟอสซิลของมนุษย์ที่แตกต่างกัน 55 ชิ้น ที่มีอายุระหว่าง 7,000 และ 35,000 ปี มาจากทั่วทวีป ตั้งแต่สเปนไปจนถึงรัสเซีย นักพันธุศาสตร์ได้แยกแยะกลุ่มพันธุกรรมที่มีบรรพบุรุษร่วมกัน โดยขึ้นอยู่กับการกลายพันธ์ุหรือการเปลี่ยนแปลงของไมโทคอนเดรียดีเอ็นเอ

โดยทั่วไปมนุษย์สมัย​​ใหม่นอกทวีปแอฟริกา จากทวีปยุโรปไปจนถึงปลายสุดของทวีปอเมริกาใต้จะอยู่ในสองกลุ่มพันธุกรรม คือ M หรือ N ปัจจุบันนี้คนเชื้อสายยุโรปทุกคนจะมีกลุ่มพันธุกรรม N ขณะที่ กลุ่มพันธุกรรม M จะมีทั่วไปในคนเอเชียและออสเตรเลีย

นักวิจัยพบว่าในมนุษย์สมัยโบราณ กลุ่มพันธุกรรม M มีอิทธิพลมากกว่า จนกระทั่งประมาณ 14,500 ปีที่ผ่านมา มันจึงหายสาบสูญไปอย่างลึกลับและรวดเร็ว กลุ่มพันธุกรรม M ที่สืบทอดโดยชาวยุโรปโบราณซึ่งทุกวันนี้ไม่มีแล้ว มีบรรพบุรุษร่วมกันกับผู้สืบทอดกลุ่มพันธุกรรม M ในปัจจุบัน ประมาณ 50,000 ปีมาแล้ว

การวิเคราะห์ทางพันธุกรรมยังเผยให้เห็นว่าชาวยุโรป เอเชียและออสเตรเลีย อาจสืบเชื้อสายมาจากกลุ่มมนุษย์ที่โผล่ออกมาจากแอฟริกาและแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็วทั่วทวีป ไม่เกินกว่า 55,000 ปีที่ผ่านมา

เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง
นักวิจัยสงสัยว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจมีสาเหตุมาจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน

ในยุคน้ำแข็งประมาณ 19,000 ถึง 22,000 ปีที่ผ่านมา ผู้คนจะตั้งรกรากในที่ที่เหมาะสมหรือภูมิภาคที่ไม่มีน้ำแข็งของยุโรปเช่น สเปน คาบสมุทรบอลข่าน และภาคใต้ของอิตาลี ในขณะที่คนที่ไม่เข้าร่วมสามารถรอดชีวิตได้ในบางสถานที่ไกลออกไปทางทิศเหนือ แต่ประชากรของพวกเขาลดลงอย่างมาก

จากนั้นราว 14,500 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ป่าไม้และสัตว์ป่าที่โดดเด่นเป็นจำนวนมากเช่นแมมมอธขนปุยและเสือเขี้ยวดาบ ได้หายสาบสูญไปจากทวีปยูเรเซีย

จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นักวิจัยคาดการณ์ว่าประชากรส่วนน้อยที่มีกลุ่มพันธุกรรม M ไม่สามารถที่จะอยู่รอดจากการเปลี่ยนแปลงนี้ในที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ได้ ประชากรใหม่ที่สืบทอดกลุ่มพันธุกรรม N จึงได้เข้ามาแทนที่

การทดแทนนี้จะมาจากสาเหตุอะไรอย่างแท้จริงนั้นยังคงเป็นปริศนา แต่นักวิจัยสันนิษฐานว่าสิ่งหนึ่งที่เป็นไปได้คือการที่คนรุ่นใหม่ของชาวยุโรปมาจากยุโรปทางตอนใต้ที่มีการเชื่อมต่อกับส่วนที่เหลือของยุโรปที่ครั้งหนึ่งน้ำแข็งได้ถอยห่างออกไป และผู้อพยพมาจากภาคใต้ของยุโรปยังสามารถปรับตัวในสภาพอากาศที่ร้อนในตอนกลางของทวีปยุโรปได้ดีอีกด้วย

รายการบล็อกของฉัน