Pyramid and the Conquest of South America
ชาวโอลเมค บรรพบุรุษของชาวมายาและแอซเต็ก อาจจะเป็นพลเมืองของจักรวรรดิแอตแลนติกก็ได้ เมื่อนักโบราณคดไม่พบอายุของพีระมิดคิวคูอิลโคในเม็กซิโกซิตี พวกเขาก็ขอให้นักธรณีวิทยาช่วยเหลือ เพราะสิ่งก่อสร้างดังกล่าวจมอยู่ในลาวาแข็งครึ่งหนึ่ง เนื่องจากบริเวณนั้นมีภูเขาไฟอยู่สองลูก จึงมีคำถามเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติว่า “การระเบิดของภูเขาไฟเกิดขึ้นเมื่อใด?” คำตอบนั่นน่าสะดุ้งตกใจทีเดียว นั่นคือ “เมื่อแปดพันปีก่อน” หากข้อสรุปนี้ถูกต้อง ก็หมายความว่าเคยมีอารยธรรมขั้นสูงอยู่ในอเมริกากลาง ในยุคโบราณอันไกลโพ้น
ชาวโอลเมค บรรพบุรุษของชาวมายาและแอซเต็ก อาจจะเป็นพลเมืองของจักรวรรดิแอตแลนติกก็ได้ เมื่อนักโบราณคดไม่พบอายุของพีระมิดคิวคูอิลโคในเม็กซิโกซิตี พวกเขาก็ขอให้นักธรณีวิทยาช่วยเหลือ เพราะสิ่งก่อสร้างดังกล่าวจมอยู่ในลาวาแข็งครึ่งหนึ่ง เนื่องจากบริเวณนั้นมีภูเขาไฟอยู่สองลูก จึงมีคำถามเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติว่า “การระเบิดของภูเขาไฟเกิดขึ้นเมื่อใด?” คำตอบนั่นน่าสะดุ้งตกใจทีเดียว นั่นคือ “เมื่อแปดพันปีก่อน” หากข้อสรุปนี้ถูกต้อง ก็หมายความว่าเคยมีอารยธรรมขั้นสูงอยู่ในอเมริกากลาง ในยุคโบราณอันไกลโพ้น
พีระมิดและผู้พิชิตในอเมริกาใต้จักรวรรดิอันแข็งแกร่งท่ามกลางมหาสมุทรแอตแลนติกจะต้องประกอบด้วยอาณานิคมในยุโรป แอฟริกา และ อเมริกาอย่างแน่นอนและมีข้อเท็จจริงต่างๆที่ยืนยันมุมมองดังกกล่าวนั้น
พีระมิดแห่งพระอาทิตย์ ที่เม็กซิโก
|
นักวิทยาศาสตร์บางท่านได้ยืนยันว่าพีระมิดปรากฏในเอเชีย แอฟริกา และอเมริกา โดยไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างกัน ไม่ได้มาจากแหล่งเดียวกัน ดังที่นักแอตแลนติสวิทยาเชื่อ
อย่างไรก็ตาม หากปราศจากแหล่งกำเนิดร่วมกันแล้ว เหตุใดจุดหมายของพีระมิดจึงเหมือนกันทั้งในเม็กซิโกและบาบิโลน โยเซฟฮุส และอิกซตลิลโซชิตล์ ได้ระบุถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนว่า คนเหล่านั้นสร้างพีระมิดขึ้นเพื่อหลบภัยจากน้ำท่วมที่จะกวาดล้างโลกอีกเป็นครั้งที่สอง
ชาวอเมริกากลางจะคาดการณ์ถึงวันสิ้นสุดของโลกไว้เสมอ ดังนั้นจุดกำเนิดของการบวงสรวงของมนุษย์ของชาวแอซเต็ก ก็กระทำเพื่อคลายความพิโรธของพระเจ้า และปกป้องมนุษย์จากภัยพิบัติอีกครั้งหนึ่งนั่นเอง
สฟิงซ์ก็เช่นเดียวกับพีระมิด กล่าวคือ พบสฟิงซ์ในยูคาตัน โดยได้รับรูปแบบมาจากมายา
นักโบราณคดีจำนวนมากพิจารณาว่า สัญลักษณ์ไม้กางเขนนั้นมาจากแอตแลนติส เพราะอาณานิคมทั้งปวงที่ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ ต่างบูชาเครื่อหมายนี้ ในอเมริกาโบราณ ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ที่ทุกคนชื่นชอบ ภาพฝาผนังของชาวอียิปต์มีเทพเจ้าจำนวนมากอยู่เคียงข้างไม้กางเขนแบบ เทา และแบบ มัลตีส กษัตริย์และนักรบชาวอัสซีเรียและบาบิโลนต่างห้อยไม้กางเขนที่คอเสมือนเครื่องรางอันศักดิ์สิทธิ์
ลัทธิบูชาพระอาทิตย์ได้รับมาจากชนโบราณจากแอตแลนติส นักแอตแลนติสวิทยาต่างยกอ้างตัวอย่างเรื่องการบูชาพระอาทิตย์ในอียิปต์และเปรู และการครองราชย์ของราชวงศ์สุริยะ แผ่นปาปิรัสชื่อทูรินได้กล่าวถึงเร เทพเจ้าพระอาทิตย์ นอกจากนี้ยังกล่าวถึงภัยพิบัติอย่างมหันต์จากน้ำท่วมและไฟไหม้ จากเรื่องนี้นักวิจัยบางท่านสรุปว่า ลัทธิบูชาพระอาทิตย์ได้รับจากแอตแลนติสอันพินาศเข้าสู่อียิปต์
ชาวอียิปต์เชื่อเรื่องอะเมนตี ดินแดนแห่งความตายทางตะวันตก หากอาณาจักรแห่งความตายหมายถึงอาณาจักรที่พระอาทิตย์ตกแห่งแอตแลนติสแล้ว ราชวงศ์พิลึกกึกกือของมนุษย์กึ่งเทพในอียิปต์ก็คือราชวงศ์ของผู้ครองราชย์สมบัติของแอตแลนติสนั่นเอง มีเรื่องโบราณเล่าต่อมาว่า เมื่อห้าร้อยปีก่อนหายนะครั้งสุดท้าย กษัตริย์ของแอตแลนติสได้อพยพไปยังอียิปต์ และก่อตั้งราชวงศ์มรณะ ด้วยทรงทราบล่วงหน้าถึงความหายนะของทวีปตน
นักบวชชาวแอซเต็กได้เก็บรักษาความทรงจำเรื่องอัซต์แลนไว้อย่างดียิ่ง อัซต์แลนนั้นเป็นดินแดนทางตะวันออก เควตซัลโคตล์ ได้เดินทางมาจากดินแดนนั้นในฐานะผู้นำวัฒนธรรมมาให้ ชาวอินคาเชื่อเรื่อง วิราโคชา ผู้มาจากดินแดนแห่งรุ่งอรุณ ชาวอียิปต์สมัยแรก ๆ บันทึกคำบอกของโธธ หรือ เทฮูติ ผู้มาจากดินแดนตะวันตก เพื่อปลูกฝังอารยธรรมและเรียนรู้เรื่องดินในลุ่มน้ำไนล์
ชาวกรีกโบราณได้ร้องเพลงทุ่งเอลีเซียน บนเกาะเล็ก ๆ ชื่อเลสต์ อยู่ไกลไปทางตะวันตก จากบทเพลงนี้กล่าวว่าทาร์ทารุส อันเป็นบ้านของคนตายได้ตั้งอยู่ใต้ภูเขาบนเกาะแห่งหนึ่งในมหาสมุทรทางตะวันตก ชาวอียิปต์และกรีกโบราณชี้ไปทางตะวันตก ที่มีเกาะลึกลับนั้น ส่วนชาวอเมริกันอินเดียนชี้ไปทางตะวันออกเพื่อบอกตำแหน่งของดินแดนแห่งเควตซัลโคตล์ หรือวิราโคชา ดินแดนทางตะวันตกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และทางตะวันออกของทวีปอเมริกานั้นไม่ใช่สิ่งใดเลย นอกจากแอตแลนติส ทวีปที่ดับสูญ จมอยู่ใต้มหาสมุทร
แม้ว่าชนโบราณหลายเชื้อชาติ มีศาสนาที่เชื่อในเรื่องความอมตะของวิญญาณ แต่ก็มีเพียงชาวเปรูและชาวอียิปต์เท่านั้น ที่เชื่อมั่นว่าวิญญาณยังวนเวียนอยู่เหนือร่างที่ตายไป และมีความสัมพันธ์กันอยู่ ทั้งสองเผ่านั้นเชื่อว่ามีความจำเป็นจะต้องรักษาสภาพศพไว้ เพื่อทำให้เป็นอมตะ
ความเชื่อกษัตริย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ทางตะวันออก นับเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของชาวแอซเต็ก และอินคา จากขุนพลจำนวนหยิบมือเท่านั้น เมื่อโคลัมบัสไปถึงหมู่เกาะเวสต์อินดิส และพาคนขึ้นบก “ชาวพื้นเมืองจูงมือมารายล้อมจูบที่มือและเท้า และกล่าวสั้น ๆ ก็คือ พยายามจะแสดงให้พวกเขาเห็นในทุกวิถีทางว่า เขาทราบว่าคนผิวขาวมาจากพระเจ้า”
😃ลักษณะของหอคอยบาเบล ชาวอียิปต์เชื่อเรื่องอะเมนตี ดินแดนแห่งความตายทางตะวันตก หากอาณาจักรแห่งความตายหมายถึงอาณาจักรที่พระอาทิตย์ตกแห่งแอตแลนติสแล้ว ราชวงศ์พิลึกกึกกือของมนุษย์กึ่งเทพในอียิปต์ก็คือราชวงศ์ของผู้ครองราชย์สมบัติของแอตแลนติสนั่นเอง มีเรื่องโบราณเล่าต่อมาว่า เมื่อห้าร้อยปีก่อนหายนะครั้งสุดท้าย กษัตริย์ของแอตแลนติสได้อพยพไปยังอียิปต์ และก่อตั้งราชวงศ์มรณะ ด้วยทรงทราบล่วงหน้าถึงความหายนะของทวีปตน
นักบวชชาวแอซเต็กได้เก็บรักษาความทรงจำเรื่องอัซต์แลนไว้อย่างดียิ่ง อัซต์แลนนั้นเป็นดินแดนทางตะวันออก เควตซัลโคตล์ ได้เดินทางมาจากดินแดนนั้นในฐานะผู้นำวัฒนธรรมมาให้ ชาวอินคาเชื่อเรื่อง วิราโคชา ผู้มาจากดินแดนแห่งรุ่งอรุณ ชาวอียิปต์สมัยแรก ๆ บันทึกคำบอกของโธธ หรือ เทฮูติ ผู้มาจากดินแดนตะวันตก เพื่อปลูกฝังอารยธรรมและเรียนรู้เรื่องดินในลุ่มน้ำไนล์
ชาวกรีกโบราณได้ร้องเพลงทุ่งเอลีเซียน บนเกาะเล็ก ๆ ชื่อเลสต์ อยู่ไกลไปทางตะวันตก จากบทเพลงนี้กล่าวว่าทาร์ทารุส อันเป็นบ้านของคนตายได้ตั้งอยู่ใต้ภูเขาบนเกาะแห่งหนึ่งในมหาสมุทรทางตะวันตก ชาวอียิปต์และกรีกโบราณชี้ไปทางตะวันตก ที่มีเกาะลึกลับนั้น ส่วนชาวอเมริกันอินเดียนชี้ไปทางตะวันออกเพื่อบอกตำแหน่งของดินแดนแห่งเควตซัลโคตล์ หรือวิราโคชา ดินแดนทางตะวันตกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และทางตะวันออกของทวีปอเมริกานั้นไม่ใช่สิ่งใดเลย นอกจากแอตแลนติส ทวีปที่ดับสูญ จมอยู่ใต้มหาสมุทร
แม้ว่าชนโบราณหลายเชื้อชาติ มีศาสนาที่เชื่อในเรื่องความอมตะของวิญญาณ แต่ก็มีเพียงชาวเปรูและชาวอียิปต์เท่านั้น ที่เชื่อมั่นว่าวิญญาณยังวนเวียนอยู่เหนือร่างที่ตายไป และมีความสัมพันธ์กันอยู่ ทั้งสองเผ่านั้นเชื่อว่ามีความจำเป็นจะต้องรักษาสภาพศพไว้ เพื่อทำให้เป็นอมตะ
ความเชื่อกษัตริย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ทางตะวันออก นับเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของชาวแอซเต็ก และอินคา จากขุนพลจำนวนหยิบมือเท่านั้น เมื่อโคลัมบัสไปถึงหมู่เกาะเวสต์อินดิส และพาคนขึ้นบก “ชาวพื้นเมืองจูงมือมารายล้อมจูบที่มือและเท้า และกล่าวสั้น ๆ ก็คือ พยายามจะแสดงให้พวกเขาเห็นในทุกวิถีทางว่า เขาทราบว่าคนผิวขาวมาจากพระเจ้า”
มีลักษณะร่วมกับซิกกูแร็ตแห่งบาบิโลน
โมนโตซูมา กษัตริย์องค์สุดท้ายของแอซเต็กได้เล่าว่า “บิดาของเขามิได้เกิดที่นี่ แต่ท่านมาจากดินแดนห่างไกล ชื่อว่าอัซต์แลน มีภูเขาสูง มีสวนที่อาศัยของเทพเจ้า” โมนเตซูมายังกล่าวว่า ตนครองราชย์ในฐานะเพียงตัวแทนของเควตซัลโคตล์ อันเป็นผู้ปกครองของจักรวรรดิตะวันออก คัมภีร์ของมายาชื่อ โพโพลวูห์ ยืนยันว่า มีธรรมเนียมโบราณที่เจ้าชายจะเดินทางข้ามทะเลไปทางตะวันออกเพื่อ “รับมอบอำนาจในราชอาณาจักร”
ชัยชนะอย่างง่ายดายของคอร์เทส และปิซาร์โร เป็นข้อพิสูจน์อย่างดีที่สุด ถึงการมีอยู่จริงของแอตแลนติสในอดีตอันเลือนราง มีขนบธรรมเนียมของแอซเต็กและอินคา ที่สืบทอดมาโดยนักบวช นั่นคือการบูชาเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย ผู้มีร่างสูง ผิวขาว และมีหนวดเครา เมื่อชาวสเปนนักผจญภัยไปยังดินแดนดังกล่าว คนพื้นเมืองก็ออกมึกทักเอาทันทีว่าเป็นตัวแทนของจักรวรรดิในแอตแลนติสในมหาสมุทรแอตแลนติส ในคราวแรกโมนเตซูมาและอะตาฮวลปา อ้าแขนรับชาวผิวขาว เนื่องจากพวกเขาคาดหวังมาเป็นเวลานาน
ความศรัทธาอย่างแน่นแฟ้นในเรื่องพระผู้เป็นเจ้าในดินแดนอาทิตย์อุทัย เป็นเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งของการพังทลายของจักรวรรดิอันทรงอำนาจแห่งเม็กซิโกและเปรู การที่จักรพรรดิของแอตแลนติสคาดว่าชาวอาณานิคมอเมริกาจะมาเยือน นับเป็นข้อพิสูจน์อย่างชัดเจนถึงอารยธรรมในโลกใหม่
คริสโตบัล โมลินา นักบวชชาวสเปน ที่เมืองคูซโก ประเทศเปรู ได้เขียนไว้เมื่อศตวรรษที่สิบหกว่า ชาวอินคามีเรื่องน้ำท่วมใหญ่อย่างครบถ้วนจากมังโก โคเปค
จากตำนากล่าวว่ามีรัฐหนึ่งอยู่ก่อนสมัยน้ำท่วม รัฐนั้นมีภาษาของตนและแน่นอนว่ารัฐดังกล่าวก็คือ แอตแลนติสอันพิลึกกึกกือนั่นเอง อิสราเอลและบาบิโลนในเอเชียไมเนอร์ และเม็กซิโกในอเมริกากลางนั้นแม้จะแยกจากกันด้วยระยะทางที่ไกลมาก แต่ก็ยังมีการสืบความเชื่อนี้ไว้ในงานเขียนอันล้ำค่าของตน
คัมภีร์ไบเบิลบรรยายถึงสมัยเมื่อมีคนเพียงเผ่าเดียวและมีภาษาเดียวในโลก หลังจากก่อสร้างหอคอยบาเบลแล้ว ผู้คนไม่เข้าใจกัน เพราะเกิดภาษาถิ่นมากมาย นักประวัติศาสตร์ชาวบาบิโลนชื่อเบโรซุส ได้บันทึกถึงยุคที่ชาติหนึ่งในอดีต มีความภูมิใจในอำนาจและชื่อเสียง จนเริ่มจะดูหมิ่นและลบหลู่เทพเจ้า ในบาบิโลนมีการก่อสร้างหอคอยสูงเกือบถึงสวรรค์ แต่ก็มีลมมาช่วยเทพเจ้า และทำลายหอคอยนั้น ซากหอคอยดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันว่า “หอคอยบาเบล” ก่อนหน้านี้มนุษย์พูดเพียงภาษาเดียวเท่านั้น และน่าแปลกที่พงศาวดารทอลเท็กของเม็กซิโกมีเรื่องคล้ายคลึงกัน เกี่ยวกับการสร้างพีระมิดสูง และการปรากฏภาษาจำนวนมากมาย
ชัยชนะอย่างง่ายดายของคอร์เทส และปิซาร์โร เป็นข้อพิสูจน์อย่างดีที่สุด ถึงการมีอยู่จริงของแอตแลนติสในอดีตอันเลือนราง มีขนบธรรมเนียมของแอซเต็กและอินคา ที่สืบทอดมาโดยนักบวช นั่นคือการบูชาเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย ผู้มีร่างสูง ผิวขาว และมีหนวดเครา เมื่อชาวสเปนนักผจญภัยไปยังดินแดนดังกล่าว คนพื้นเมืองก็ออกมึกทักเอาทันทีว่าเป็นตัวแทนของจักรวรรดิในแอตแลนติสในมหาสมุทรแอตแลนติส ในคราวแรกโมนเตซูมาและอะตาฮวลปา อ้าแขนรับชาวผิวขาว เนื่องจากพวกเขาคาดหวังมาเป็นเวลานาน
ความศรัทธาอย่างแน่นแฟ้นในเรื่องพระผู้เป็นเจ้าในดินแดนอาทิตย์อุทัย เป็นเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งของการพังทลายของจักรวรรดิอันทรงอำนาจแห่งเม็กซิโกและเปรู การที่จักรพรรดิของแอตแลนติสคาดว่าชาวอาณานิคมอเมริกาจะมาเยือน นับเป็นข้อพิสูจน์อย่างชัดเจนถึงอารยธรรมในโลกใหม่
จากตำนากล่าวว่ามีรัฐหนึ่งอยู่ก่อนสมัยน้ำท่วม รัฐนั้นมีภาษาของตนและแน่นอนว่ารัฐดังกล่าวก็คือ แอตแลนติสอันพิลึกกึกกือนั่นเอง อิสราเอลและบาบิโลนในเอเชียไมเนอร์ และเม็กซิโกในอเมริกากลางนั้นแม้จะแยกจากกันด้วยระยะทางที่ไกลมาก แต่ก็ยังมีการสืบความเชื่อนี้ไว้ในงานเขียนอันล้ำค่าของตน
คัมภีร์ไบเบิลบรรยายถึงสมัยเมื่อมีคนเพียงเผ่าเดียวและมีภาษาเดียวในโลก หลังจากก่อสร้างหอคอยบาเบลแล้ว ผู้คนไม่เข้าใจกัน เพราะเกิดภาษาถิ่นมากมาย นักประวัติศาสตร์ชาวบาบิโลนชื่อเบโรซุส ได้บันทึกถึงยุคที่ชาติหนึ่งในอดีต มีความภูมิใจในอำนาจและชื่อเสียง จนเริ่มจะดูหมิ่นและลบหลู่เทพเจ้า ในบาบิโลนมีการก่อสร้างหอคอยสูงเกือบถึงสวรรค์ แต่ก็มีลมมาช่วยเทพเจ้า และทำลายหอคอยนั้น ซากหอคอยดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันว่า “หอคอยบาเบล” ก่อนหน้านี้มนุษย์พูดเพียงภาษาเดียวเท่านั้น และน่าแปลกที่พงศาวดารทอลเท็กของเม็กซิโกมีเรื่องคล้ายคลึงกัน เกี่ยวกับการสร้างพีระมิดสูง และการปรากฏภาษาจำนวนมากมาย
หากเรื่องหอคอยบาเบลไม่ใช่นิทาน แต่เป็นประวัติศาสตร์แล้ว ก็หมายความว่ามีจักรวรรดิโลกจริง ๆ โดยมีภาษาโลกเพียงภาษาเดียว ในยุคที่ไม่มีใครจำได้
เนื่องจากรัฐจะมีอยู่ไม่ได้ หากขาดการจัดการสื่อสาร และเทคโนโลยีก้าวหน้า การมีวิทยาศาสตร์ในยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ก่อนยุคน้ำท่วม
นับเป็นความสำคัญอย่างมาก ที่เกษตรกรชาวอเมริกใต้และอเมริกากลางได้ปลูกสมุนไพรและอาหารจำนวนมากกว่าเผ่าใดในโลกนี้ ในยุคก่อนอินคา และสมัยอินคา มีมันฝรั่ง 240 สายพันธุ์ และข้าวโพด 20 ชนิด ที่พัฒนาขึ้นในแถบแอตดิสและอะเมซอนตอนบน แตงกวาและมะเขือเทศ มันฝรั่ง ฟักทอง และถั่ว รวมทั้ง สตรอเบอรี่ และช็อกโกแลต
ต่างมีกำเนิดมาจากโลกใหม่ คือทวีปอเมริกานี้ทั้งสิ้น ความจริงแล้วอาหารที่ชาวยุโรปรับประทานทุกวันนี้ ครึ่งหนึ่งยังไม่มีใครรู้จัก จนกระทั่งมีการค้นพบอเมริกา นั่นหมายความว่าชาวเม็กซิโกและเปรูโบราณได้รับสืบทอดความรู้ทางการเกษตรมาจากแอตแลนติสใช่หรือไม่?