กวีชาวโรมันนามว่า โอวิด ได้เขียนไว้เกี่ยวกับน้ำท่วมใหญ่ และเขียนพงศาวดารสืบต่อจากของเพลโตว่า
“ครั้งหนึ่งมีความเลวร้ายขึ้นบนโลก จนพระเจ้าผู้พิพากษา หนีไปสู่สวรรค์ และกษัตริย์แห่งทวยเทพตัดสินพระทัย จะหยุดยั้งเผ่าพงศ์ของมนุษย์ ...ความพิโรธของ พระพฤหัสบดีมิได้จำกัดอยู่กับขอบเขตท้องฟ้าของพระองค์ เท่านั้น พระสมุทรได้ส่งคลื่นมาช่วย พระสมุทรฟาด ทวนสามง่ามลงยังโลก ทำให้โลกต้องสั่นสะเทือน ... ไม่ช้าก็ไม่มีดินแดนจากทะเลใต้พื้นน้ำ พรายน้ำนามว่า เรไยเดส จ้องไปยังป่าไม้ บ้านเรือ และในเมืองด้วย ความพิศวง มนุษย์ดับสูญไปเกือบทั้งหมด เพราะไม่มี อากาศ ทำให้ตายด้วยความหิว”
ปาปิรัสสมัยราชวงศ์ที่สิบสอง อายุ 3,000 ปีก่อน ซึ่งเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่เลนินกราด ได้ระบุถึง เกาะงูใหญ่ ความว่า “หลังจากเจ้าจากเกาะนี้ไปแล้ว เราจะไม่พบเกาะนี้อีก เพราะที่แห่งนี้จะมลายไปใต้คลื่นมหาสมุทร”
เอกสารของอียิปต์โบราณนี้บรรยายถึงอุกกาบาตที่ตกลงมา และน้ำท่วมใหญ่ที่ตามมา “เมื่อดาวร่วงจากสวรรค์ และเปลวไฟลามเลียทุกสิ่งอัน สิ่งทั้งมวลก็ไหม้ไฟ แต่ข้ารอดพ้นมาผู้เดียว ถึงกระนั้น เมื่อข้าเห็นซากศพเป็นภูเขาเลากา ข้าก็แทบจะสิ้นใจด้วยความโศกเศร้าอาลัย”
นับว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนึกภาพการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาโดยฉับพลัน ซึ่งทำลายล้างทวีปแอตแลนติส แต่นิทานพื้นบ้านและจารึกโบราณหลายเผ่าก็มีเรื่องของน้ำท่วมอย่างชัดเจน
คัมภีร์ไบเบิลมีเรื่องเรืออาร์คของโนอาห์ และเรื่องน้ำท่วมใหญ่ ในเรื่องของเอโนช ผู้เตือนโนอาห์ถึงภัยพิบัติที่กำลังจะมา ก่อนที่ตนจะขึ้นไปยังสวรรค์ทั้งยังมีชีวิต มีข้อความที่สำคัญเกี่ยวกับ “ไฟทางตะวันตก” และ “ทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลทางตะวันตก”
ประมาณพันแปดร้อยปีก่อน ลูเซียนได้บันทึกเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งซึ่งแสดงว่าเรื่องน้ำท่วมใหญ่นั้น มีอยู่อย่างแน่นอนในยุคโบราณ กล่าวคือ นักบวชแห่งบาลเบกซึ่งบัดนี้ได้อยู่ในดินแดนเลบานอน มีพิธีศักดิ์สิทธิ์เป็นการรินน้ำทะเลจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสู่รอยหินแตกใกล้วิหาร เพื่อตรึงความทรงจำของน้ำในสมัยน้ำท่วมที่รินไหลเข้ามา และเพื่อตรึงความทรงจำเรื่องการช่วยชีวิตของเทพดูคาเลียนไว้ตลอดไป ในการนำน้ำทะเลมานั้น นักบวชจะต้องเดินทางไปยังขายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน จากนั้นจึงกลับไปยังบาลเบก ใช้เวลาถึงสี่วัน สำหรับรอยหินแตกนี้อยู่ที่ปลายด้านเหนือสุดของเกรตรีฟต์ซึ่งยืดยาวไกลไปทางใต้ จนถึงแม่น้ำแซมเบซี พิธีกรรมนี้อาจจะเป็นความทรงจำพื้นบ้านในเรื่องน้ำท่วมก็ได้
นิทานของพวกบุชแมนได้กล่าวถึงเกาะขนาดมหึมาอยู่ทางตะวันตกของแอฟริกา แต่ต่อมาก็จมอยู่ใต้น้ำ นี่เป็นหนึ่งในตำนานจำนวนมากมายที่เกี่ยวกับการจมของแอตแลนติส
หลักฐานที่น่าแปลกใจเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกมีอยู่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก เรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติ หากเราถือว่าแอตแลนติสเคยเชื่อมต่อทางการค้าและวัฒนธรรมกับยุโรปและแอฟริกา และอเมริกา สำเนาจารึกเรื่องหนึ่งของชาวมายากล่าวว่า “ฟ้ามาถึงโลก และวันหนึ่งทุกสิ่งทั้งปวงจะพินาศ แม้ภูเขาก็จะดับสูญไปใต้ผิวน้ำ” สำเนาจารึกเดรสเดนของมายา แสดงถึงการทำลายล้างโลก โดยแสดงเป็นรูปภาพ ภาพหนึ่งมีงูในท้องฟ้า และกระแสน้ำพุ่งออกมาจากปาก จักรราศีของมายาบ่งบอกถึงการเกิดจันทรุปราคา และสุริยุปราคา ขณะเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์เจ้าแห่งความตายมีท่าทางตกตะลึงพรึงเพริดด้วยความกลัว ในมือถือถ้วยค่ำ น้ำที่จะมาทำลายน้ำไหลออก
คัมภีร์โพโพลวูห์ คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของมายาในกัวเตมาลา ได้กล่าวถึงความน่ากลัวของภัยพิบัติครั้งนั้น โดยกล่าวว่า เสียงคำรามของไฟได้ยินมาจากเบื้องบน พื้นโลกสั่นสะเทือนและสรรพสิ่งหมุนคว้างมาพุ่งชนมนุษย์ น้ำมันดินตกลงมาปนกับน้ำ ต้นไม่แกว่งไกว บ้านเรือนแตกแยกเป็นเสี่ยง ๆ จากนั้นกลางวันก็มืดสนิทเยี่ยงกลางคืน คัมภีร์ชิลัมบาลัม ของยูคาตัน ยืนยันว่าดินแดนกำเนิดของชาวมายาถูกน้ำทับท่วม ขณะเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดอย่างบ้าคลั่ง ในยุคเก่าก่อนอันไกลโพ้น ชาวอินเดียผิวขาวเผ่าหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่ในเวเนซูเอลา ชื่เผ่าปาเรีย อยู่ในหมู่บ้านที่มีชื่อน่าสนใจว่า อัตลัน หรือ แอตแลน (Atlan) พวกเขามีเรื่องเก่าเล่าถึงมหันตภัยที่ทำลายล้างดินแดนของตน อันเป็นเกาะใหญ่เกาะหนึ่งในมหาสมุทร การอ่านเรื่องปรัมปราของอเมริกันอินเดียนโดยละเอียด ทำให้ทราบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจที่ว่า ชนกว่า 130 เผ่า ต่างมีตำนานเรื่องน้ำท่วมโลก
เราจะใช้เรื่องปรัมปราและเรื่องพื้นบ้านเพื่อเติมช่องว่างขนาดใหญ่ในประวัติศาสตร์ได้ไหม ศาสตราจารย์ ไอ.เอ. เอเฟรมอฟ แห่งสหภาพโซเวียต ได้ตอบยืนยันเรื่องนี้ เขายืนยันว่า “นักประวัติศาสตร์จะต้องให้ความนับถือแก่เรื่องพื้นบ้านโบราณ” ศาสตราจารย์เอเฟรมอฟได้ตำหนินักวิทยาศาสตร์ในตะวันตกที่ทำตนเป็นผู้เชี่ยวชาญ เมื่อพิจารณาเรื่องเล่าของคนที่เรียกว่า “ชาวบ้านธรรมดา”
ตำนานของชาวเอสกิโมกล่าวว่า “ครั้นแล้วน้ำท่วมอย่างแรงกล้าก็มาถึง คนส่วนมากจมน้ำ และจำนวนคนลดน้อยลงทุกที” ชาวเอสกิโมและชาวจีนมีเรื่องปรัมปรากล่าวว่า พื้นดินกระเพื่อมอย่างแรง ก่อนมีน้ำท่วมใหญ่
การเคลื่อนของแกนโลกสามารถอธิบายถึงน้ำท่วมอย่างกว้างขวางในโลกได้ แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่ทราบถึงสาเหตุที่ก่อให้เกิดการสั่นไหวอย่างฉับพลันนั้น การชนกับอุกกาบาตขนาดใหญ่เป็นตัวก่อให้เกิดน้ำท่วมแอตแลนติส หรืออาจเป็นตามทฤษฎีโฮเออร์บิเกอร์ที่ว่า เชลยของดาวเคราะห์ที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า ดวงจันทร์ นักวิทยาศาสตร์บางท่านคิดว่า อ่าวแคโรไลนาเป็นผลจากอุกกาบาตโดยเฉลี่ยแล้วปล่องรูปวงรีมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณครึ่งไมล์ ขอบยกสูง ส่วนกลางลึกลง 25 – 50 ฟุต และเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน ที่พบลูกอุกกาบาตจำนวนมหาศาลในนอร์ธแคโรไลนา และเซาธ์แคโรไลนา
สมมุติฐานเรื่องเปลือกโลกเคลื่อนตัวที่เสนอโดยดอกเตอร์ชาร์ลส์ เอช. ฮาพกูด แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ให้ข้อพิจารณาตัดสินอย่างละเอียด ท่านได้ตั้งทฤษฎีว่าเปลือกโลกบาง ๆ จะเคลื่อนไปมาบนลูกทรงกลมที่เป็นของเหลว ส่วนตัวการที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนตัวก็คือน้ำแข็งที่ปกคลุมขั้วโลกนั่นเอง ด็อกเตอร์ฮาพกูด สามารถอธิบายการมีอยู่ของซากหินปะการังในเขตอาร์กติก หรือการเคลื่อนไปทางเหนือของธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัย
หากเปลือกโลกเคลื่อนที่ได้ การชนกับอุกกาบาตก็อาจเป็นเหตุให้เกิดการเคลื่อนของเปลือกโลกได้ นี่ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ แต่เป็นความเป็นไปได้ในทางดาราศาสตร์ ขอให้เราพิจารณาถึงโลกเราที่คลาดจากการชนดาวเคราะห์น้อยเมื่อเดือนตุลาคม ปี 1937 เพียงห้าชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
ศาสตราจารย์เอ็น.เอส. เวตชินกินแห่งรัสเซีย มีคำตอบแก่ปริศาเรื่องแอตแลนติส และการเกิดน้ำท่วมโลกว่า “การมีอุกกาบาตขนาดยักษ์ตกลงมาเป็นสาเหตุให้เกิดการทำลายล้างแอตแลนติส ก้อนอุกกาบาตขนาดมหึมาเหล่านั้น เราเห็นได้ชัดเจนบนพื้นผิวดวงจันทร์ มีปล่องหลุมดังกล่าวที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสองร้อยกิโลเมตร ขณะที่บนโลกมีขนาดกว้างเพียงสามกิโลเมตรเท่านั้น เมื่อตกลงสู่ทะเล อุกกาบาตขนาดยักษ์จะก่อให้เกิดคลื่น ที่ไม่เพียงแต่ซัดกวาดอาณาจักรสัตว์และพืชเท่านั้น หากยังกวาดภูเขาต่าง ๆ ด้วย”
บันทึกความทรงจำเรื่องน้ำท่วมแอตแลนติสนั้น ยังคงมีอยู่ในเรื่องปรัมปราของชนกลุ่มต่าง ๆ มากมาย และเราอาจอนุมานจากการศึกษาเรื่องเหล่านั้นได้ว่า ขอบเขตและคุณลักษณะของภัยพิบัติครั้งนั้น แปรเปลี่ยนไปตามตำแหน่งทางภูมิศาสตร์
ชาวอินเดียนเผ่าคีเชในกัวเตมาลาจำได้ถึงฝนสีดำที่ตกจากท้องฟ้า และเกิดขึ้นในคราวที่แผ่นดินไหวทำลายบ้านเรือนและถ้ำต่าง ๆ เรื่องนี้บ่งชี้ถึงการเคลื่อนไหวทางธรณีวิทยาอย่างรุนแรง ที่ปรากฏในมหาสมุทรแอตแลนติก ควันเถ้าถ่าน และสายน้ำจะทะเลที่บ้าคลั่ง ได้พุ่งขึ้นไปถึงบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ จากนั้นก็เคลื่อนลงมา เนื่องจากการหมุนของโลง พาฝนดำนี้ลงมาทั่วอเมริการกลาง ตำนานของชาวคีเชได้รับการยืนยันจากชาวอินเดียนในอะเมซอน พวกเขากล่าวว่า หลังจากการระเบิดอย่างรุนแรง โลกก็เข้าสู่ความมืดมิด ชาวอินเดียนในเปรูยังกล่าวอีกว่า มีน้ำสูงขึ้นถึงภูเขา
ในที่ราบลุ่มเมดิเตอร์เรเนียน เรายังได้ยินเรื่องเกี่ยวกับน้ำท่วมมากกว่าปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิด ในเรื่องปรัมปราของกรีกโบราณ กล่าวว่ามีคลื่นสูงถึงยอดไม้ ซัดปลามาค้างกิ่งเมื่อน้ำลด คัมภีร์เซนต์อะเวสตะ ของเปอร์เซีย ยืนยันว่า ในเปอร์เซียมีน้ำท่วมสูงท่วมหัว
เมื่อเดินทางไปไกลทางตะวันออก เราพบเอกสารโบราณกล่าวว่า ในประเทศจีน น้ำทะเลลดลงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ เนื้อหาสังเขปของน้ำท่วมโลกนั้น ปะติดปะต่อกันได้เป็นเรื่องเดียวกัน คลื่นยักษ์ในแอตแลนติสคงจะก่อให้เกิดน้ำลดในอีกซีกโลก นั่นคือมหาสมุทรแปซิฟิก
มีข้อถกเถียงยืนยันที่น่าสนใจควรแก่การยกมากล่าวอ้าง กล่าวคือในเม็กซิโกโบราณ มีวันหยุดสำคัญที่อุทิศแก่เหตุการณ์ในอดีต ที่กลุ่มดาวให้บอกดวงชะตาใหม่ให้ และมีเรื่องต่อมาว่า ในยุคเก่าแก่นั้น ท้องฟ้ามิได้ปรากฏเช่นในปัจจุบัน
มาร์ทินุส มาร์ทินี มิชชันนารีในศตวรรษที่สิบเจ็ดได้เดินทางไปประเทศจีนและเขียนหนังสือเรื่อง ประวัติศาสตร์ประเทศจีน (History of China) เกี่ยวกับบันทึกเก่าแก่ที่สุดของจีน โดยกล่าวถึงเวลาที่ท้องฟ้าตกไปทางเหนือในฉับพลัน พระอาทิตย์ พระจันทร์ และดาวเคราะห์ต่างเปลี่ยนวิถีการโคจรหลังจากโลกสั่นสะเทือน แน่นอนว่านี่เป็นเบาะแสที่สำคัญเกี่ยวกับการสั่นสะเทือนของโลก เพราะเราสามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่บรรยายไว้ในเอกสารของจีนนี้โดยไม่ต้องอ้างอิงเอกสารอื่นเลย
หลักฐานที่น่าแปลกใจเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกมีอยู่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก เรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติ หากเราถือว่าแอตแลนติสเคยเชื่อมต่อทางการค้าและวัฒนธรรมกับยุโรปและแอฟริกา และอเมริกา สำเนาจารึกเรื่องหนึ่งของชาวมายากล่าวว่า “ฟ้ามาถึงโลก และวันหนึ่งทุกสิ่งทั้งปวงจะพินาศ แม้ภูเขาก็จะดับสูญไปใต้ผิวน้ำ” สำเนาจารึกเดรสเดนของมายา แสดงถึงการทำลายล้างโลก โดยแสดงเป็นรูปภาพ ภาพหนึ่งมีงูในท้องฟ้า และกระแสน้ำพุ่งออกมาจากปาก จักรราศีของมายาบ่งบอกถึงการเกิดจันทรุปราคา และสุริยุปราคา ขณะเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์เจ้าแห่งความตายมีท่าทางตกตะลึงพรึงเพริดด้วยความกลัว ในมือถือถ้วยค่ำ น้ำที่จะมาทำลายน้ำไหลออก
สำเนาจารึกเดรสเดน สมัยก่อนโคลัมบัส แสดงระบบคณิตศาสตร์สมัยก่อนที่ตะวันตกจะรับมาจากอินเดีย |
เราจะใช้เรื่องปรัมปราและเรื่องพื้นบ้านเพื่อเติมช่องว่างขนาดใหญ่ในประวัติศาสตร์ได้ไหม ศาสตราจารย์ ไอ.เอ. เอเฟรมอฟ แห่งสหภาพโซเวียต ได้ตอบยืนยันเรื่องนี้ เขายืนยันว่า “นักประวัติศาสตร์จะต้องให้ความนับถือแก่เรื่องพื้นบ้านโบราณ” ศาสตราจารย์เอเฟรมอฟได้ตำหนินักวิทยาศาสตร์ในตะวันตกที่ทำตนเป็นผู้เชี่ยวชาญ เมื่อพิจารณาเรื่องเล่าของคนที่เรียกว่า “ชาวบ้านธรรมดา”
ตำนานของชาวเอสกิโมกล่าวว่า “ครั้นแล้วน้ำท่วมอย่างแรงกล้าก็มาถึง คนส่วนมากจมน้ำ และจำนวนคนลดน้อยลงทุกที” ชาวเอสกิโมและชาวจีนมีเรื่องปรัมปรากล่าวว่า พื้นดินกระเพื่อมอย่างแรง ก่อนมีน้ำท่วมใหญ่
การเคลื่อนของแกนโลกสามารถอธิบายถึงน้ำท่วมอย่างกว้างขวางในโลกได้ แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่ทราบถึงสาเหตุที่ก่อให้เกิดการสั่นไหวอย่างฉับพลันนั้น การชนกับอุกกาบาตขนาดใหญ่เป็นตัวก่อให้เกิดน้ำท่วมแอตแลนติส หรืออาจเป็นตามทฤษฎีโฮเออร์บิเกอร์ที่ว่า เชลยของดาวเคราะห์ที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า ดวงจันทร์ นักวิทยาศาสตร์บางท่านคิดว่า อ่าวแคโรไลนาเป็นผลจากอุกกาบาตโดยเฉลี่ยแล้วปล่องรูปวงรีมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณครึ่งไมล์ ขอบยกสูง ส่วนกลางลึกลง 25 – 50 ฟุต และเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน ที่พบลูกอุกกาบาตจำนวนมหาศาลในนอร์ธแคโรไลนา และเซาธ์แคโรไลนา
สมมุติฐานเรื่องเปลือกโลกเคลื่อนตัวที่เสนอโดยดอกเตอร์ชาร์ลส์ เอช. ฮาพกูด แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ให้ข้อพิจารณาตัดสินอย่างละเอียด ท่านได้ตั้งทฤษฎีว่าเปลือกโลกบาง ๆ จะเคลื่อนไปมาบนลูกทรงกลมที่เป็นของเหลว ส่วนตัวการที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนตัวก็คือน้ำแข็งที่ปกคลุมขั้วโลกนั่นเอง ด็อกเตอร์ฮาพกูด สามารถอธิบายการมีอยู่ของซากหินปะการังในเขตอาร์กติก หรือการเคลื่อนไปทางเหนือของธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัย
หากเปลือกโลกเคลื่อนที่ได้ การชนกับอุกกาบาตก็อาจเป็นเหตุให้เกิดการเคลื่อนของเปลือกโลกได้ นี่ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ แต่เป็นความเป็นไปได้ในทางดาราศาสตร์ ขอให้เราพิจารณาถึงโลกเราที่คลาดจากการชนดาวเคราะห์น้อยเมื่อเดือนตุลาคม ปี 1937 เพียงห้าชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
ศาสตราจารย์เอ็น.เอส. เวตชินกินแห่งรัสเซีย มีคำตอบแก่ปริศาเรื่องแอตแลนติส และการเกิดน้ำท่วมโลกว่า “การมีอุกกาบาตขนาดยักษ์ตกลงมาเป็นสาเหตุให้เกิดการทำลายล้างแอตแลนติส ก้อนอุกกาบาตขนาดมหึมาเหล่านั้น เราเห็นได้ชัดเจนบนพื้นผิวดวงจันทร์ มีปล่องหลุมดังกล่าวที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสองร้อยกิโลเมตร ขณะที่บนโลกมีขนาดกว้างเพียงสามกิโลเมตรเท่านั้น เมื่อตกลงสู่ทะเล อุกกาบาตขนาดยักษ์จะก่อให้เกิดคลื่น ที่ไม่เพียงแต่ซัดกวาดอาณาจักรสัตว์และพืชเท่านั้น หากยังกวาดภูเขาต่าง ๆ ด้วย”
บันทึกความทรงจำเรื่องน้ำท่วมแอตแลนติสนั้น ยังคงมีอยู่ในเรื่องปรัมปราของชนกลุ่มต่าง ๆ มากมาย และเราอาจอนุมานจากการศึกษาเรื่องเหล่านั้นได้ว่า ขอบเขตและคุณลักษณะของภัยพิบัติครั้งนั้น แปรเปลี่ยนไปตามตำแหน่งทางภูมิศาสตร์
ชาวอินเดียนเผ่าคีเชในกัวเตมาลาจำได้ถึงฝนสีดำที่ตกจากท้องฟ้า และเกิดขึ้นในคราวที่แผ่นดินไหวทำลายบ้านเรือนและถ้ำต่าง ๆ เรื่องนี้บ่งชี้ถึงการเคลื่อนไหวทางธรณีวิทยาอย่างรุนแรง ที่ปรากฏในมหาสมุทรแอตแลนติก ควันเถ้าถ่าน และสายน้ำจะทะเลที่บ้าคลั่ง ได้พุ่งขึ้นไปถึงบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ จากนั้นก็เคลื่อนลงมา เนื่องจากการหมุนของโลง พาฝนดำนี้ลงมาทั่วอเมริการกลาง ตำนานของชาวคีเชได้รับการยืนยันจากชาวอินเดียนในอะเมซอน พวกเขากล่าวว่า หลังจากการระเบิดอย่างรุนแรง โลกก็เข้าสู่ความมืดมิด ชาวอินเดียนในเปรูยังกล่าวอีกว่า มีน้ำสูงขึ้นถึงภูเขา
ในที่ราบลุ่มเมดิเตอร์เรเนียน เรายังได้ยินเรื่องเกี่ยวกับน้ำท่วมมากกว่าปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิด ในเรื่องปรัมปราของกรีกโบราณ กล่าวว่ามีคลื่นสูงถึงยอดไม้ ซัดปลามาค้างกิ่งเมื่อน้ำลด คัมภีร์เซนต์อะเวสตะ ของเปอร์เซีย ยืนยันว่า ในเปอร์เซียมีน้ำท่วมสูงท่วมหัว
เมื่อเดินทางไปไกลทางตะวันออก เราพบเอกสารโบราณกล่าวว่า ในประเทศจีน น้ำทะเลลดลงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ เนื้อหาสังเขปของน้ำท่วมโลกนั้น ปะติดปะต่อกันได้เป็นเรื่องเดียวกัน คลื่นยักษ์ในแอตแลนติสคงจะก่อให้เกิดน้ำลดในอีกซีกโลก นั่นคือมหาสมุทรแปซิฟิก
มีข้อถกเถียงยืนยันที่น่าสนใจควรแก่การยกมากล่าวอ้าง กล่าวคือในเม็กซิโกโบราณ มีวันหยุดสำคัญที่อุทิศแก่เหตุการณ์ในอดีต ที่กลุ่มดาวให้บอกดวงชะตาใหม่ให้ และมีเรื่องต่อมาว่า ในยุคเก่าแก่นั้น ท้องฟ้ามิได้ปรากฏเช่นในปัจจุบัน
มาร์ทินุส มาร์ทินี มิชชันนารีในศตวรรษที่สิบเจ็ดได้เดินทางไปประเทศจีนและเขียนหนังสือเรื่อง ประวัติศาสตร์ประเทศจีน (History of China) เกี่ยวกับบันทึกเก่าแก่ที่สุดของจีน โดยกล่าวถึงเวลาที่ท้องฟ้าตกไปทางเหนือในฉับพลัน พระอาทิตย์ พระจันทร์ และดาวเคราะห์ต่างเปลี่ยนวิถีการโคจรหลังจากโลกสั่นสะเทือน แน่นอนว่านี่เป็นเบาะแสที่สำคัญเกี่ยวกับการสั่นสะเทือนของโลก เพราะเราสามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่บรรยายไว้ในเอกสารของจีนนี้โดยไม่ต้องอ้างอิงเอกสารอื่นเลย
จารึกทางดาราศาสตร์บนเพดานสุสานของเซนมุต |
แผนที่ดาวสองชิ้นที่เขียนไว้ในเพดานหลุมศพของเซนเมาธ์ ผู้เป็นสถาปนิกของพระราชินีฮัตเชบซุต ได้เสนอปริศนาไว้อย่างหนึ่ง กล่าวคือทิศหลักนั้นอยู่ตรงกับแผนที่ทางดาราศาสตร์อย่างถูกต้อง แต่ทิศอื่น ๆ วางกลับกัน ราวกับโลกเคยเคลื่อนตัวมาแล้ว ความจริงแล้ว ฮาร์ริส ปาปิรัสก็ระบุว่า โลกได้พลิกกลับเมื่อเกิดภัยพิบัติอย่างกว้างไกล เฮอร์มิเทจ ปาปิรัส ที่เลนินกราดและอิปูเวอร์ ปาปิรัส ก็ยังกล่าวว่าโลกได้พลิกกลับด้าน
ชาวอินเดียนที่อาศัยในพื้นที่ตอนล่างใกล้แม่น้ำแมคเคนซีในแคนาดาตอนเหนือ กล่าวยืนยันว่าในช่วงน้ำท่วมใหญ่นั้น คลื่นที่ร้อนจนทนไม่ได้ได้เคลื่อนมายังเขตอาร์กติก หลังจากความร้อนนั้นก็มีอากาศหนาวยะเยือกอย่างฉับพลัน การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศในเปลือกโลกจะก่อให้เกิดสภาพอากาศแบบสุดขีด ดังที่ชาวอินเดียนในแคนาดากล่าวไว้
จากหลักฐาน ทำให้เราทราบว่าสมัยเมื่อถึงวันวิปโยคของแอตแลนติสนั้น มีความรุนแรงและน่ากลัวอย่างยิ่ง
ชาวอินเดียนที่อาศัยในพื้นที่ตอนล่างใกล้แม่น้ำแมคเคนซีในแคนาดาตอนเหนือ กล่าวยืนยันว่าในช่วงน้ำท่วมใหญ่นั้น คลื่นที่ร้อนจนทนไม่ได้ได้เคลื่อนมายังเขตอาร์กติก หลังจากความร้อนนั้นก็มีอากาศหนาวยะเยือกอย่างฉับพลัน การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศในเปลือกโลกจะก่อให้เกิดสภาพอากาศแบบสุดขีด ดังที่ชาวอินเดียนในแคนาดากล่าวไว้